วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

IF I CAN DREAM ถ้าผม(ใฝ่)ฝันได้ละก้อ..นะ

ถ้าผมฝันได้ละก้อ..นะ
ผมคงมีเรื่องราวมากมายที่อยากนอนหลับ..แล้วฝันถึง
แม้ว่าจริงๆแล้ว..
ผมไม่ใช่คนชอบฝันกลางวัน ฝันเป็นตุเป็นตะ  ฝันหวาน ฝันเพ้อ ฝันละเมอ หรือว่าฝันเปียก..
เพราะรู้ดีว่าฝันมันก็คือฝัน.. เป็นจินตนาการส่วนลึก ถึงลึกมากเป็นความปราถนาในใจ
ฝันไปก็เท่านั้น เป็นจริงไปไม่ได้ดอก..

แต่ก็อยากจะฝัน..
เพราะในฝัน..อืม นะ
แบบว่า มันโคตรจะมโนได้เลย คนเราสามารถเรียบเรียง แก้ไข แต่งเติม ดัดแปลง ความฝันได้ เปลี่ยนฝันร้ายให้กลายเป็นดี ฝันดีก็ขอฝันอีกรอบ หรือหลายๆรอบ ด้วยการกลับไปนอนฝันใหม่

ฝัน...ก็คือฝันนั่นแหละ
เป็นจริงไม่ได้ เพราะหลายๆเรื่องในชีวิตนั้น
มันเป็นความ ...ฝันลมๆแล้งๆ ออกไปทางแนว "เพ้อ"

มีผู้รู้บอกไว้ว่าว่า
ความฝัน..ถ้ามันนั่งเล่นอยู่กับสติ มันจะมีเวลาคิดฝันบนหลักการของเหตุและผล
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งทีฝัน..ทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ถ้าคุณทำได้..
มันจะกลายเป็นความ "ใฝ่ฝัน" เป็นหนังคนละม้วนกับคำว่า "เพ้อ"

อืม.. ถ้าผมใฝ่ฝันได้นะ




If I can dream *Elvis Presley

There must be lights burning brighter somewhere.
Got to be birds flying higher in a sky more blue.
If I can dream of a better land,
where all my brothers walk hand in hand.
Tell me why,
 oh why, oh why can't my dream come true? Oh why?
 There must be peace and understanding sometime.
Strong winds of promise that will blow away all the doubt and fear.
If I can dream of a warmer sun, where hope keeps shining on everyone.
Tell me why, oh why, oh why won't that sun appear?
 We're lost in a cloud with too much rain.
We're trapped in a world that's troubled with pain.
But as long as a man has the strength to dream he can redeem his soul at last (he can fly) Deep in my heart there's a trembling question.
Still I am sure, that the answer answer's gonna come somehow.
Out there in the dark, there's a beckoning candle, yeah. And while I can think, while I can talk.
While I can stand, while I can walk.
While I can dream. Please let my dream come true...oh… Right now.
Let it come true right now oh yeah

 ****************************************

หากฉันฝันได้ล่ะก็... ขอให้มีแสงสว่างที่กำลังลุกโชติช่วงจรัสจ้ายิ่งกว่าในสักแห่ง 
อยากเป็นเช่นนกที่กำลังโบยบินสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าสีฟ้าพร่างพราว
หากฉันสามารถฝันถึงแผ่นดินที่ดีกว่า ที่ๆมวลพี่น้องของฉันเดินจูงมือกัน...
บอกฉันทีว่าทำไม...โอ้ ทำไมกัน...โอ้ ทำไมฝันของฉันยังมิอาจเป็นจริง...โอ้ ทำไม... 
ขอให้มีสันติสุขและความเข้าใจบ้างในบ้างครั้ง
สายลมอันมีพลังแห่งคำสัญญาที่จะพัดพาความสงกาและความหวาดหวั่นให้มลายหายไป
หากฉันสามารถฝันถึงดวงตะวันที่อบอุ่นยิ่งกว่า ที่ๆความหวังดำรงสาดแสงฉานสู่ทุกผู้คน
บอกฉันทีว่าทำไม...โอ้ ทำไมกัน...โอ้ทำไม
ดวงอาทิตย์จึงมิปรากฏ เราสูญหายไปในผืนเมฆาที่อิ่มล้นเอ่อนองด้วยหยาดฝน
เราติดกับอยู่ในโลกาที่ทุกข์ยากด้วยความเจ็บปวด
แต่ตราบใดที่คนเรามีพลังที่จะฝัน เขาย่อมสามารถไถ่บาปดวงวิญญาณของเขาในที่สุด
(เขาย่อมลอยไป) ลึกลงไปในหัวใจของฉัน
ยังมีคำถามที่สั่นสะท้าน ฉันยังคงมั่นใจว่าคำตอบ...
คำตอบกำลังจะมาเยือนไม่ว่าโดยวิธีใดก็ตามแต่ 
หากข้างนอกมีความมืดมน ย่อมมีเล่มเทียนเป็นสัญญาณ.. และขณะที่ฉันยังสามารถคิด...
ขณะที่ฉันยังสามารถพูด...ขณะที่ฉันยังสามารถยืนหยัด...
ขณะที่ฉันยังสามารถก้าวเดิน...ขณะที่ฉันยังสามารถฝันได้...
ได้โปรดเถิดนะขอให้ความฝันของฉันจงเป็นจริง ณ บัดนี้ ขอให้มันจงเป็นจริง ณ บัดนี้...
By rose
(ที่มา http://pantip.com/topic/30941055)

วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ปลาเป็น..ว่ายทวนน้ำ


ผม..
ก็คงเหมือนคนทั่วไปที่อยากทานเนื้อปลาแซลมอนกับเขาบ้างหากมีโอกาส และไม่ได้สนใจหรอกครับว่าชีวิตของปลาชนิดนี้มันจะเหมือนหรือต่างจากปลาอื่นๆอย่างไร  เคยดูสารคดีแบบผ่านๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวของเหล่าแซลมอน ว่ากันว่าแม่ปลาแซลมอนเมื่อวางไข่แล้ว แม่ปลาจะตาย และเมื่อลูกจะว่ายลงไปสู่ท้องทะเล ใช้ชีวิตผจญภัยกว่า 4 ปี ก่อนที่จะว่ายทวนน้ำกลับขึ้นมายังบ้านเกิด เพื่อวางไข่ รอดบ้าง ไม่รอดบ้าง บางตัวเนื้อถูกเจี๋ยนมาวางเรียงอยู่บนจาน เป็นอาหารชั้นยอด.. บลา ๆ ๆ .. ได้ดูประมาณนั้นแหละครับ ส่วนเนื้อหาอื่นๆไม่ค่อยสนใจ อ้อ.อีกอย่างที่พอจำได้ คือ เนื้อปลาแซลมอนมันอร่อย และแพง.. 

ผมก็รู้แค่นั้น..



ผมมีโอกาสดูหนังญี่ปุ่นเรื่องหนี่ง ซึ่งในบางช่วงบางตอนในหนังมีเรื่องราวเกี่ยวกับเหล่าแซลมอนที่กำลังว่ายทวนกระแสน้ำ ประโยคคำถามบางอย่างแว๊บๆ เข้ามาอีกครั้ง ด้วยความสนใจว่าทำไม?

ปุฉานี้ ก็ได้อาจารย์กรูนี่แหละครับ ช่วยวิสัชนาให้กระจ่าง

ทำให้ผมได้อ่านเรื่องราวอันมหัศจรรย์ของปลาแซลมอน ที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ เกิดความรู้สึกทึ่งในชีวิตธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ปลาแซลมอนมัน "มีชีวิต" อย่างนั้นจริงๆหรือ?

แซลมอนสอนคน

ผู้เขียน "แซลมอนสอนคน" เป็นนักเขียนชาวเกาหลี มีนามกรว่า อันโดฮยอน เขาได้ถ่ายถอดเรื่องราววงจรชีวิต การเดินทางของฝูงแซลมอนจากมหาสมุทรไปยังบ้านเกิด เป็นวรรณกรรมที่น่าอ่านน่าติดตาม  โดยเฉพาะระหว่างทางชีวิตมี คติ ข้อคิดที่แฝงปรัชญามากมาย ให้ทั้งคุณค่าการมีชีวิต ความสุข ทุกข์ ผ่านชีวิตตัวละครที่ชื่อว่า "สีเงิน"

เจ้าแซลมอลสีเงิน มันเป็นปลาที่มีสีเกล็ดแตกต่างจากเพื่อนปลาแซลมอลทั่วไปแถมยังเป็นปลาอารมณ์อ่อนไหวและขึ้สงสัย มันจึงมักมีคำถามที่ชวนให้สงสัยว่าทำไมต้องทำสิ่งนั้น ทำไมต้องทำสิ่งนี้ ทำไมต้องว่ายทวนน้ำจากมหาสมุทร ไกลก็ไกล เหนื่อยก็เหนื่อย ฝ่าอุปสรรคอันตรายต่างๆ เพียงเพื่อกลับไปวางไข่ที่แหล่งน้ำบ้านเกิด  จนกระทั่งวันหนึ่งที่พี่สาวของสีเงินถูกนกอินทรีทะเลโฉบไป

นั่น..จึงเป็นจุดเริ่มต้นความพยายามค้นหาคุณค่า และความหมายของการมีชีวิตอยู่

สีเงินได้มาพบรักกับแซลมอนสาวตาประกายผู้ที่บอกสีเงินว่า
"การว่ายทวนน้ำขึ้นไปเพื่อวางไข่ที่ต้นแม่น้ำ เป็นเหตุผลของการมีชีวิตอยู่" ทำให้สีเงินเริ่มได้เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น มีมุมมอง ความคิดใหม่ๆ มีเรื่องยากๆให้ต้องตัดสินใจ ต้องก้าวข้ามผ่าน และความขัดแย้งที่ต้องต่อสู้ทางความคิดกับบรรดาแซลมอนตัวอื่นๆ

เส้นทางชีวิตที่ต้องแรมรอนเพื่อกลับบ้าน   ระหว่างทางชีวิตของสีเงินได้พบกับความสุข เศร้า เจ็บปวด ความห่วงใย ความสนุกสนานและความรัก ช่วยให้มันนำพาฝูงแซลมอนฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆเพื่อเดินทางกลับไปยังต้นน้ำบ้านเกิด

และ ณ ที่จุดกำเนิด สีเงินได้ตระหนักว่า แท้จริงแล้วการดำรงชีวิตตามวิถีครรลองอย่างที่เป็นอยู่นี้ เป็นคุณค่าสำคัญสำหรับแซลมอนทุกตัว

"ทำไมต้องว่ายทวนน้ำกลับไปวางไข่ " สีเงินถามกับแม่น้ำ
แม่น้ำอมยิ้มและพูดขึ้นว่า
"แซลมอนสีเงินเอ๋ย อย่าคิดว่าเจ้าจะอาศัยแรงของตัวเองเพียงลำพังก็ว่ายทวนน้ำได้นะ" 
 "ทำไมล่ะครับ" 
"แรงของแซลมอนตัวเดียวไม่พอหรอก ต้องอาศัยแรงของทั้งฝูงปลา ที่แซลมอนสูงส่งก็เพราะว่ารู้จักว่ายทวนน้ำด้วยกันเป็นฝูงน่ะ" แม่น้ำตอบ
"แล้วทำไมเราต้องว่ายทวนน้ำด้วยล่ะครับ"
 "การว่ายทวนน้ำ เปรียบเหมือนการตามหาสิ่งที่มองไม่เห็น อย่างความหวังและความฝันนั่นละ แม้จะเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่ก็เป็นสิ่งที่สวยงามสูงส่งนัก แซลมอน หากไม่รู้จักการว่ายทวนน้ำ ก็ไม่ต่างอะไรกับใบไม้เน่าๆ ซึ่งสิ้นไร้ทั้งความหวังและความฝัน" แม่น้ำอธิบายให้สีเงินเข้าใจ


"ทำไมแซลมอนต้องกระโดดข้ามน้ำตก ทำไมไม่ว่ายอ้อมไป" สีเงินซักต่อด้วยความสัย เพราะการกระโดดอาจเป็นอันตรายต่อแซลมอลอย่างมาก

"มันเป็นความท้าทายที่ธรรมชาติมอบให้ผองเรา เพื่อทดสอบว่าจะไต่ข้ามขึ้นไปสู่ต้นน้ำได้หรือไม่ เพื่อดูว่าเราจะประสบความสำเร็จหรือพ่ายแพ้กับชีวิต" 
"แม้จะเป็นแซลมอนกรามโตผู้เย่อหยิ่ง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าน้ำตกที่เป็นอุปสรรคขวางกั้น ก็ยากที่จะแข็งขืนไม่ศิโรราบ"  

นี่คือตัวอย่างเรื่องราวบางช่วงบางตอนที่แฝงข้อคิด หากเราจะต่อยอดความคิดได้จากเรื่องราวการค้นหาและต่อสู้ สัมผัสคุณค่าความงามของการมีชีวิตอยู่ผ่านการเดินทางอันแสนมหัศจรรย์ของแซลมอน เรียนรู้ชีวิต ความคิด ผ่านมุมมองของมัน อาจจะช่วยทำให้เข้าใจคำตอบบางอย่างของชีวิตที่คุณและผมอาจจะยังค้นหาไม่เจอ..

..........................

ทุกปีช่วงปลายฝน ต้นหนาว เหล่าแซลมอนจะพยายามว่ายทวนกระแสน้ำจากมหาสมุทร กลับไปยังแม่น้ำแหล่งกำเนิด เมื่อกลับถึงบ้านเกิดมันจะหาที่วางไข่และรอปฏิสนธิกับสเปิร์มจากแซลมอนตัวผู้ หลังจากวางไข่เสร็จแล้วต่อมาปลาแซลมอนจะตาย จึงมีคำบอกเล่ากันมาว่าปลาแซลมอนกลับไปวางไข่และตายที่บ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งเป็นพฤติกรรมของปลาแซลมอนมาตั้งแต่โบราณไข่จะฟักออกเป็นตัวอ่อนในอีกราว 2 เดือนต่อมา


:: ข้อคิด สะกิดใจ
"แซลมอนไม่สร้างหลุมศพให้ผู้ตาย "
"แซลมอนจะต้องจ้องมองความตายอย่างสงบ
กลั้นความเศร้าเอาไว้เท่านั้น...
และว่ายต่อไป"




Life is just a bowl of cherries : Ken Morris

Life is just a bowl of cherries 
Don't make it serious 
 Life's too mysterious 
You work You save You worry so 
But you can't take your dough When you go, go, go So 
keep repeating It's the berries
The strongest oak must fall
The sweet things in life 
To you were just loaned 
So how can you lose 
What you've never owned 
Life is just a bowl of cherries 
So live and laugh at it all.

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

(คุณ)พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง..(แค่ไหน?)

มีทฤษฎีที่พูดถึง ความเคยชิน..จนชินชา ที่ผมชอบมากเรื่องหนึ่ง คือเรื่องทฤษฎีต้มกบ ซึ่งเป็นทฤษฎีที่มีคนมากมายนำมาอธิบายเกี่ยวกับพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงว่า และได้ข้อสรุปที่น่าสนใจว่า
 "การเปลี่ยนแปลง..แบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป” เป็นการเปลี่ยนแปลงที่อันตรายที่สุด

เพราะมันทำให้คนส่วนใหญ่ตกหลุมลับ/ลวง/พรางจนคิดว่าสามารถเอาอยู่รับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้
บางคนอาจจะทันสังเกตุเห็น
หรือ บางคน...รู้สึกคุ้นชินกับมัน...
แต่ที่ตลกร้าย บางคนเฉย จนเฉี่อยชา มองเป็นเรื่องธรรมดา และไม่ใส่ใจ

สุดท้าย...
การเปลี่ยนแปลงนั้นถึงจุดที่เราไม่สามารถรับมือได้ เพราะว่า..ทุกสิ่งทุกอย่างก็อาจสายเกินไป..

..............................................................................................................................................

นักวิชาการชาวไอริชผู้หนึ่งนามชื่อ Tichyand Sherman (1993) เขาได้เสนอแนวคิดทฤษฎีโดยการทดลองนำกบมาต้มเพื่อจะศึกษาปฏิกิริยาตอบสนองของกบ  โดยหม้อน้ำที่ชาวไอริชนำมาใช้ทดลองนั้นใส่น้ำต่างกัน ใบแรกเป็นใส่น้ำร้อนจัด ใบที่สองเป็นใส่น้ำที่อุ่นสบายๆ และค่อยๆ ทำให้อุ่นขึ้นจนเดือด เขาได้ทดลองโดยนำกบมา 2 ตัว โดยกบตัวแรกเขาเอากบเข้าไปใกล้ๆหม้อน้ำร้อน เพื่อทำให้มันรู้ว่าน้ำที่อยู่ตรงหน้ามันนั้นเป็น “น้ำร้อน” นะเฟ้ย  จากนั้นเขาปล่อยเจ้ากบตัวนั้นลงไปในหม้อน้ำร้อน
ผลคือ เจ้ากบก็กระโดดตัวลอยขึ้นจากหม้อ ทันทีที่เท้าของมันสัมผัสกับผิวน้ำในหม้อ

ส่วนกบอีกตัว เขานำกบมาปล่อยลงในหม้อใบที่สอง  ซึ่งมีน้ำที่มีอุณหภูมิปกติ
เจ้ากบตัวนี้เมื่อมันลงไปในหม้อมันก็ปล่อยตัวนอนเล่นตามสบาย ไม่ได้พยายามตะเกียกตะกายหนีขึ้นมาจากหม้อ โดยหารู้ไม่ว่า..อันตรายที่กำลังเข้ามาเยือน เมื่อน้ำในหม้อเริ่มร้อนขึ้นทีละน้อยๆ มันก็ยังใช้ชีวิตสบายๆของมันอยู่ในหม้อใบนั้น
กว่ามันเริ่มรู้สึกว่าน้ำนั้นเริ่มร้อนมากเกินไป มันก็กลายเป็นกบถูกต้มไปเรียบร้อยแล้ว 
..................................................................................................................................................

หลายปีที่ผ่านมา..
มีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีด้านสาธารณสุขที่รวดเร็วอย่างมาก เทคโนโลยีดิจิตัลเข้ามามีบทบาทแทนระบบอนาล็อก ซึ่งส่งผลต่อการช่วยพัฒนาระบบบริการให้มีความสะดวก รวดเร็ว รองรับจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้น

แต่หลายๆโรงพยาบาลผู้บริหาร คนทำงานก็ยังคิดและทำงานบนวิธีการแบบเดิมๆ.. คำพูดติดปากที่ได้ยินบ่อยๆ คือ มันดีอยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องไปปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงอะไรให้มันยุ่งยาก  ทำไม่ได้ ฯลฯ เราจึงมักเห็นสภาวะที่องค์กร หรือคนทำงานต้องเหนื่อย เครียด หรือประสบปัญหาจากการถูกความเปลี่ยนแปลงไล่ล่า เพราะมองไม่เห็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น..

หากคิดว่าองค์กรของเราทำงานดีอยู่แล้ว บุคลากรของเราก็เก่งอยู่แล้ว แค่คงไม่พอ ไม่งั้นระบบคุณภาพคงไม่ถามคำถามสำคัญว่า วิสัยทัศน์ขององค์กรคืออะไร? หลายๆองค์กรจึงมีไว้เป็นประโยคเท่ห์ๆให้ดูฟังเลิศหรู..

ทั้งๆที่วิสัยทัศน์ คือ การมองอนาคตที่รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอกและเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ..

ความสุขสบายกับระบบเดิมๆ กับสิ่งที่คุ้นเคย มักทำให้เกิดความรู้สึกเฉยชา และเชื่อว่าสิ่งที่ทำอยู่ดีอยู่แล้ว เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยแล้ว องค์กรหลายแห่งจึงไม่เคยคิดอัพเกรดเพื่อสร้างคุณค่า และไม่เคยเตรียมรับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังคืบคลานเข้ามา

ดร.เทียม โชควัฒนา ได้ให้ปรัชญาการทำงานและการดำเนินชีวิตไว้อย่างน่าสนใจว่า
" แค่หยุดอยู่กับที่ ก็กลายเป็นผู้ล้าหลัง นักธุรกิจต้องเป็นคนไม่หยุดนิ่งเพียงวันนี้ แต่ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้ทันสมัย ทันโลก พร้อมที่จะก้าวสู่วันพรุ่งนี้ได้เสมอ.."

บันทึกให้กำลังใจตัวเองไว้วันนี้ว่า..
จงมองให้กว้าง ..  มองให้ไกล
อ่านให้ขาด แม้ว่าสถานการณ์ทุกอย่างยังเป็นปกติ..
.............................................................................................................................................

หมายเหตุ  ในปี 2002 ศาสตราจารย์ด้านสัตวิทยา Dr. Victor H. Hutchison ได้ทดลองเอากบไปต้มจริงๆ  และเขาเฉลยว่า ทฤษฏีต้มกบเป็นเรื่องไม่่ถูกต้อง! เพราะกบมันเป็นสัตว์เลือดเย็น หากคุณต้มน้ำให้อุณหภูมิน้ำเพิ่มขึ้น 1.1 °C ต่อนาที กบก็พร้อมจะกระโดดหนีตายกันแล้ว ไม่จำเป็นให้อุณหภูมิสูงขึ้นถึงจุดอันตราย ทางเดียวที่กบจะอยู่ในหม้อ คือ คุณต้องปิดฝาหม้อเพื่อต้มมัน..

ตลกร้าย หลายคนดันปิดฝาหม้อโดยไม่รู้ว่ากำลังต้มตัวเอง  โอ๊บ โอ๊บ..

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หลายปีแล้ว..



พ่อจากพวกเราไปตั้งแต่ ปี 2540 นับถึงวันนี้ก็เป็นเวลากว่า 17 ปีแล้ว ความทรงจำของผมเกี่ยวกับพ่อส่วนใหญ่จะเป็นช่วงเวลาที่ได้เคยอยู่ไปไหนมาไหนด้วยกัน ทุกเรื่องที่สอน ทุกอย่างที่พ่อทำให้ดู หลายเรื่องผมก็ทำได้ แต่ก็หลายอย่างที่ยังทำได้ไม่ดี เช่น การพูดภาษาอีสาน และการทำกับข้าว ที่เป็นถนัดของพ่อ ชีวิตหลังๆฝากท้องไว้กับฝีมือแม่อย่างเดียวผมแทบไม่ได้หัดทำอีกเลย 

ถ้าพ่อยังอยู่จนถึงวันนี้ ก็คงเป็นตาแก่ที่มีอายุ 67ปี ซึ่งคงจะดีสำหรับแม่ที่จะได้มีเพื่อนชวนคุย ชวนทะเลาะกันบ้าง  ป่ารอบๆบ้านพ่อก็คงจัดการให้เรียบร้อย ดีไม่ดีสวนที่งผมปลูกข้าวคงเป็นสถานที่ทำงานที่พ่อคงจะชอบไปนั่งเล่น นอนเล่นทุกวัน..

สิบกว่าปีมานี่ ครอบครัวเรามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมากครับ มีบ้าน มีรถ มีที่ดินเหมือนที่พ่อเคยฝันเคยพยายามจะให้ลูกๆได้มีได้ใช้ แต่พ่อก็ไม่มีโอกาสได้อยู่ชื่นชมกับพวกเรา ผมเคยคิดเล่นๆว่าถ้าพ่อยังอยู่ บ้านเราจะเป็นอย่างไรกันบ้าง เพราะที่บ้านมีหลานซนๆให้พ่อกับแม่ได้เลี้ยงกันหลายคน มีอยู่ช่วงหนึ่งที่บ้านเรามีปัญหาวิกฤตการเงินบ้างแต่พวกเราก็ผ่านมันมาได้ด้วยดี.. แต่แม่แกก็บ่นๆน้อยใจพ่ออยู่นะที่ไม่ยอมมาเข้าฝันให้เลขเด็ดๆกับแกบ้าง..ว่างๆ มีโอกาสพ่อก็ลองหามาฝากแม่สักตัวสองตัวนะครับ

ถึงวันนี้.. 
แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแล้ว พวกเราทุกคนยังคงคิดถึงพ่อเสมอครับ

วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2557

ก๋วยเตี๋ยวเป็ดที่อร่อยที่สุดในสามโลก..



อาหารมื้อเที่ยงวันนี้ ผมมีคำสั่งเฉพาะกิจจากทางบ้านเพราะลูกชายอยากทานก๋วยเตี๋ยวเป็ดเจ้าเก่า แต่กว่าผมจะขยับขยายย้ายก้นออกมาจากโรงพยาบาลได้ เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบบ่ายโมง  นึกหวั่นๆในใจว่าปานนี้อาจจะเหลือแต่ซี่โครงเป็ดหรือเปล่าหนอ.. 

หลังจากรีบขับรถไปถึงร้านผมสั่งก๋วยเตี๋ยวใส่ถุงกลับบ้าน 3 ถุง พูดคุย สอบถามสารทุกข์สุขดิบกับแม่ค้าตามประสาคนคุ้นเคยกัน เพราะสามีของเธอเคยไปช่วยผมสอนเด็กว่ายน้ำอยู่พักใหญ่ๆ แต่ตอนนี้กิจการงานที่ร้านกำลังไปได้ดีจนไม่ค่อยมีเวลาว่าง ผมบอกว่าไม่เป็นไรว่างเมื่อไหร่ก็มาช่วยกันอีก พูดคุยกันพอหอมปากหอมคอ ผมจึงไปนั่งรอที่โต๊ะด้านหน้าและไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครกำลังนั่งอยู่ในร้านบ้าง 

ชายหญิงสูงวัย 2 คน นั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆด้านหลัง ขยับตัวลุกขึ้นผู้หญิงเดินไปจ่ายเงินกับแม่ค้า  ส่วนผู้ชายเดินเข้ามาทักทายผมโดยไม่ทันตั้งตัว เดิมทีผมแค่คุ้นๆหน้าแต่พอพูดคุยกันสองสามประโยคผมถึงนึกออกว่าเป็นสามีของคนไข้ที่เคยมารับบริการที่ศูนย์ประกัน  หลังจากนั้นหญิงสูงวัยซึ่งก็คือคนไข้รายนั้นจึงเดินเข้ามาทักและบอกผมด้วยรอยยิ้มว่า "เรียบร้อยแล้วนะค่ะ" ผมยิ้มตอบและยกมือไหว้ด้วยความเข้าใจว่าเป็นประโยคบอกเล่าทักทายธรรมดาๆ ก่อนที่เธอจะเดินไปขึ้นรถ แม่ค้ารีบบอกผมเบาๆว่าผู้หญิงสูงวัยท่านนั้นเธอจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวให้ผมทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว.." ทั้งดีใจแบบงงๆแต่ก็รีบตามไปไหว้ขอบคุณทั้งสองท่านด้วยความเกรงใจ..

เรื่องของเรื่อง คือ คุณอาทั้งสองท่านนี้พื้นเพมาจากภาคกลาง แต่เลือกมาใช้ชีวิตบั้นปลายสุดทางที่ด่านซ้าย เมื่อปีที่แล้วเคยมาติดต่อที่ศูนย์ประกันและมาขอย้ายสิทธิมาที่ด่านซ้ายเรียบร้อย แต่หลังจากย้ายมาแล้วคุณอาผู้หญิงซึ่งมีปัญหาสุขภาพและมีนัดที่ต้องไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลเดิม ด้วยความที่ไม่เข้าใจในเรื่องการใช้สิทธิ ก่อนเข้ารับบริการทางโรงพยาบาลต้องการใบส่งตัวจากโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้ายเพื่อใช้ให้สามารถใช้สิทธิบัตรทองได้ โดยที่จะต้องยื่นส่งเอกสารให้ทางโรงพยาบาลก่อน เพราะค่าใช้จ่ายในการรักษาค่อนข้างสูง

ผมรับเรื่องของเคสนี้จากพี่อ๋อย ที่ขอให้ลองหาทางช่วยผู้ป่วยรายนี้ หลังจากที่ได้พูดคุยกันญาติของผู้ป่วยยินยอมที่จะเดินทางขึ้นมาเพื่อเอาใบส่งตัว แต่ผมคิดว่าไม่น่าที่จะต้องเสียเวลาจึงขอคุยกับทางเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลว่า ทางโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้ายจะรับรองการเข้ารับการรักษาของเคสนี้โดยที่ผมจะขอส่งสำเนาใบส่งต่อทางโทรสารไปก่อน และจะรีบส่งใบส่งต่อตัวจริงไปให้ทาง EMS เพื่อไม่ให้มีปัญหาค่ารักษาพยาบาล

หลังจากนั้นผมได้มีการพูดคุยกับคุณอาผู้หญิงทางโทรศัพท์อีก 2-3 ครั้ง เพื่อแจ้งเกี่ยวกับการประสานงานว่าได้ดำเนินการไปขึ้นขั้นไหนแล้ว และรีบดำเนินการให้น้องที่ศูนย์ประกันจัดส่งเอกสารไปให้ จนสุดท้ายได้ทราบว่าเอกสารไปถึงจุดหมายได้ทันเวลา และคนไข้ไม่มีปัญหาเรื่องค่ารักษาพยาบาลได้รับบริการตามสิทธิ

เมื่อกลับมาที่ด่านซ้าย..
คุณอาทั้งสองท่านได้เคยแวะเอาของมาฝากผมกับน้องๆที่ศูนย์ประกัน และมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้งสองครั้งในปีที่แล้ว..

จนกระทั่งมาเจอกันอีกวันนี้ ผมยังได้ก๋วยเตี๋ยวเป็ดอีก 3 ถุง เป็นของฝาก
เป็นก๋วยเตี๋ยวเป็ดที่อร่อยที่สุดในสามโลก...


วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557

Flight ผ่าวิกฤตเที่ยวบินระทึก

ตอนที่ผมเห็นแผ่นปิดหนังที่ร้านวีดีโอ เหตุผลแว๊ปแรกที่ผมตัดสินใจเลือกเช่าเรื่องนี้ คงเป็นเพราะพี่เดนเซล วอชิงตัน นักแสดงนำของเรื่องเป็นแน่แท้..
ส่วนตัวชื่นชอบบทบาทการแสดง ส่วนรวมคิดว่าได้ดาราดังคุณภาพคับแก้วระดับนี้ คุณภาพหนังคงไม่มีที่จะเป็นสองรองใคร 
เดิมทีผมคิดว่าหนังเรื่องนี้จะออกแนวแอ๊กชั่น มีฉากบู๊มันส์ ให้ได้ลุ้นกันตลอดทั้งเรื่อง แต่ที่ไหนได้กลับกลายเป็นหนัง ดราม่าหนักๆ ที่แฝงประเด็น(เครียดๆ)ให้คิด ใครที่ชอบหนังชีวิตแนวนี้ บ่ตงครับว่าไม่ผิดหวัง

Flight เป็นเรื่องราวของของ "วิป วิทเทคเกอร์" กัปตันผู้มีฝีมือขับเครื่องบินขั้นเทพ เพราะสามารถนำเครื่องบินที่กำลังจะตก ลงจอดได้ราวกับปาฏิหารย์ด้วยวิธีการบังคับเครื่องที่แหวกแนว ทำให้สามารถช่วยชีวิตผู้คนบนเครื่องส่วนใหญ่ให้รอดตายได้ เสียชีวิตไปแค่ 6 จากจำนวนทั้งหมด 102 คน 

เครื่องบินตกและมีคนรอดตายเยอะขนาดนี้ ย่อมเป็นข่าวใหญ่ที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน ว่าเป็นเพราะฝีมือ ของกัปตันที่สามารถช่วยชีวิตผู้โดยสารไว้ได้ แต่ก็ยังมีคำถามอีกหลายข้อถึงสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินตก ซึ่งต้องพิสูจน์ให้แน่ชัด ในขณะที่ข่าวกำลังออกไปยกย่องเชิดชูให้เขาให้เป็นเยี่ยงวีรบุรุษ แต่ในด้านการสืบสวนหาสาเหตุของความผิดพลาด ทีมงานเริ่มพบเงื่อนปมบางอย่าง ที่พาไปสู่ความจริงที่แสนเจ็บปวดซึ่งเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมด้านมืดที่ชั่วร้าย แม้เขาจะมั่นใจว่าปัญหาพฤติกรรมส่วนตัวของเขาบางอย่างไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตกของเครื่องบิน พอๆกับความเชื่อว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจทำนั้นมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้คนบนเครื่องส่วนใหญ่รอดตาย

เขามีความเชื่อมั่นในความคิดของตนเองว่าเขาสามารถเอาอยู่ได้ในทุกเหตุการณ์ แม้ว่าเขาจะมีด้านมืดที่เลวร้าย ผู้คนน่าจะสนใจความจริงที่ว่า เพราะเขาจึงสามารถช่วยชีวิตคนได้มากมาย ทำไมกฏหมายจึงะมาจ้องเล่นงานในพฤติกรรมที่เป็นด้านลบของเขา..

ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนำไปสู่การตัดสินใจของเขาต้องเลือกตัดสินใจว่า จะโกหกเพื่อให้ตนเองรอดคุก หรือพูดความจริงที่เกิดขึ้น 

เพราะ.. ผลที่จะตามมาจากการตัดสินใจของเขา
อยู่บนเส้นแบ่งบางๆระหว่างการเป็นวีรบุรุษกับการถูกจำคุกคุกตลอดชีวิต..

และหนังเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ช่วยยืนยันว่า
การดื่ม  "สุรา.." นำมาซึ่งปัญหาอื่นๆอีกมากมาย


วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2557

เถียนมีมี่ 3650 วัน รักเธอคนเดียว

"โชคชะตา" ชอบเล่นตลกกับ "ความรัก"

ม..
ยืนเลือกดูแผ่นหนังเก่าๆ ที่บูท B2S ที่มาเปิดเลหลังสินค้า Sale กันตั้งแต่ 20-50 เปอร์เซนต์ที่เซนทรัลพลาซ่า สาขาพิษณุโลก เผื่อว่าจะเจอหนังน่าสะสมบางเรื่องที่อยากได้
แผ่นละ 39 บาท 3 แผ่น 99 บาท เป็นราคาตลาดที่เลขสวย ถ้าได้หนังที่ถูกใจผมควักจ่ายโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย 

มีหนังหลายเรื่องที่เคยดู และไม่เคยคิดอยากจะหยิบมาดู

เป็นเหมือนผมกันบ้างไหม๊ครับที่หนังบางเรื่องชอบดูซ้ำๆ ดูกี่รอบกี่รอบก็ไม่เบื่อ แต่บางเรื่องดูไปไม่ถึง 10 นาที ต้องรีบเอาแผ่นออกจากเครื่อง เพราะรู้สึกว่าไม่ได้เรื่องทั้งเนื้อหา สาระ และความบันเทิง..  
กว่าครึ่งชั่วโมงที่ใช้เวลาอยู่ตรงนั้น..แต่คุ้มค่าเพราะว่าได้เจอหนังเรื่องโปรดที่ผมไม่รอช้า รีบคว้ามาไว้ในมือ

ถ้าพูดถึงหนังรัก โรแมนติก สำหรับคนวัยเดียวกับผม "เถี่ยน มี มี 3650 วัน รักเธอคนเดียว" คงเป็นหนึ่งในหนังสะสมที่ติดอันดับ Top ten เป็นแน่แท้..  หนังฮ่องกงเรื่องนี้เปิดฉายที่ฮ่องกงปลายปี 1996 (2539) เนื้อเรื่องเป็นราวชีวิตของหนุ่มสาว 2 คน ที่เป็นคนจีนอพยพที่หวังจะมาขุดทองที่ฮ่องกง ด้วยความฝันและจุดหมายที่ต่างกัน ชายหนุ่มหวังที่จะมาทำงานเก็บเงินเพื่อที่จะได้พาแฟนสาวมาแต่งงานอยู่กันกันที่ฮ่องกง ส่วนหญิงสาวฝันที่จะมีเงินทอง มีบ้าน มีชีวิตสุขสบายในเมืองใหญ่

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากการเดินทางของชายหนุ่ม ที่เดินทางมาหางานทำในเมืองใหญ่และอาศัยอยู่กับป้าที่มีอาชีพเป็นหญิงบริการ ด้วยความเป็นคนบ้านนอก ดูซื่อๆ โชคชะตาได้ดลให้มาพบกับหญิงสาวที่เป็นพนักงานบริการของร้านแมคโดนัลด์ 
แม้วิถีชีวิตที่แตกต่างแต่ชอบบทเพลงของ "เติ้งลี่จวิน" เหมือนกันที่ ทำให้เกิดความผูกพันจนกลายเป็นเพลงของเรา ภายใต้เงาความรักที่ก่อตัวขึ้นเงียบๆ

เถี่ยมมีมี 3650 วัน รักเธอคนเดียว เรื่องราวของเขาและเธอเริ่มจากการพบ รัก และพลัดพรากซึ่งบางครั้งมันไม่ต้องมีเหตุผลเสมอไป หรืออาจจะเป็นได้ว่าเพราะการที่ไม่มีเหตุผลของคนทั้งสอง นำมาสู่การต้องลาจากกัน และบางครั้งโชคชะตาชีวิตก็มักเล่นตลกกับความรักให้พลิกผันด้วยอุปสรรคต่างๆ ทำให้คนเราคิดตัดสินใจผิดพลาดได้
ถึงชีวิตของเขาและเธอจะถูกลิขิตให้เดินไปคนละทาง แต่ความรักยังคงซุกซ่อนตราตรึงอยู่ในใจของกันและกันอย่างมิรู้ลืม..

ผมกลับมาดูและเขียนถึงหนังเรื่องนี้อีกครั้ง หลังจากที่เวลาผ่านไปกว่า 18 ปี และ จางม่านอวี้ นางเอกในดวงใจของผมคนนี้ มีอายุอานามปาเข้าไป 49 ปีแว้ว..





เนื้อเพลงแปล เถี่ยนมี่มี่

หวานปานน้ำผึ้ง เธอยิ้มหวานปานน้ำผึ้ง
ช่างเหมือนกับดอกไม้บานในฤดูใบไม้ผลิ บานในฤดูใบไม้ผลิ
ที่ไหนนะ ที่ไหนนะ ที่พบเธอมาก่อน ยิ้มของเธอช่างคุ้นเคย
ฉันคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ,อา..ในความฝัน ในความฝัน
ในความฝัน ในความฝันที่พบเธอ ยิ้มของเธอช่างหวานเหลือเกิน
คือเธอ คือเธอ ในความฝันที่พบก็คือเธอนั่นเอง
ที่ไหนนะ ที่ไหนนะ ที่พบเธอมาก่อน ยิ้มของเธอช่างคุ้นเคย
ฉันคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ,อา..ในความฝัน ในความฝัน


เถียนมีมี่ 3650 วัน รักเธอคนเดียว

รางวัลภาพยนตร์ฮ่องกงครั้งที่ 16
  • ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม ปีเตอร์ ชาน 
  • นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม - Maggie Cheung Man-Yuk 
  • สมทบชายยอดเยี่ยม - Eric Tsang Chi-Wai 
  • ลำดับภาพยอดเยี่ยม - Ivy Ho Best Cinematography - Jingle Ma Chor-Sing 
  • กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม - Hai Chung-Man 
  • เครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม - Ng Lei-Lo 
  • Best Original Music Score - Chui Jun-Fun ได้รับเสนอรายชื่อเข้าประกวด 
  • นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม - หลี่หมิง 
  • Best Newcomer - Kristy Yang 
  • รางวัลม้าทองคำ Best Picture นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม

วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ผู้รักษาประตู

ผม
ในสมัยรุ่นๆ เคยเป็นนักกีฬาฟุตบอลแบบไม่ได้ตั้งใจนัก ด้วยรูปร่างสูงใหญ่ เบสิกพื้นฐานการเลี้ยงลูกต่ำ อาศัยว่าใจถึงพอพึ่งได้และทีมฟุตบอลมีตำแหน่งที่คนไม่อยากเล่นกันนักว่างอยู่ "ผู้รักษาประตู" ปราการด่านสุดท้ายจึงตกเป็นหน้าที่ของผมอย่างไม่บังเอิญ

นักฟุตบอลชาวเดนมาร์ก ผู้รักษาประตูระดับตำนานของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เคยได้รับการโหวตเป็นผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในโลก เมื่อปี พ.ศ. 2535 และ พ.ศ. 2536 และเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลในดวงใจของผม นามของเขา คือ ปีเตอร์ ชไมเคิล ลีลาการเล่นของซุปเปอร์เซฟระดับตำนาน นั่นคือภาพฝันที่ผมอยากเป็นเหมือนเขา

ว่ากันว่าในปีที่เดนมาร์คคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรในปี 1992 ชไมเคิล คือผู้เล่นคนสำคัญที่ทั้งเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมและคอยกระตุ้นทีมให้สู้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งแต่ละเกมส์การแข่งขันเขาพาทีมเล่นอย่างเต็มที่ ไม่มีคำว่าท้อในแววตา ใช้เวลาจนวินาทีสุดท้ายเป็นนายทวารที่นำพาทีมได้ไกลจนแชมป์ยูโร..

ชไมเคิลจึงเป็นวีรบุรุษตำนานในดวงใจของใครหลายคน.. รวมทั้งผม
ทุกเกมส์การแข่งขันที่ผมลงทำหน้าที่รักษาประตู พยายามจะป้องกันรักษาปราการด่านซ้ายสุดท้ายให้ดีที่สุด เพราะหากคู่ต่อสู้หลุดมาได้เหลียวซ้าย และขวา หน้า หลังไม่มีใครอีกแล้วนอกจากตัวผมเอง..

แต่ความที่ต้องถูกโดดเดี่ยวให้แห้งเหี่ยวเดียวดายเฝ้าเสาประตูบ่อยครั้ง
ทำให้ผมชินกับการต้องคิด จินตนาการ เดาทางกับทีมคู่ต่อสู้บ่อยๆ ว่าจะมาทางไหน ว่ากันว่าบางครั้งเดาใจผิด ออกเร็วไป ช้าไป กลายเป็นตัวตลกประจำทีมไปเลย  แม้กระทั่งช่วงที่ต้องดวลจุดโทษทั้งๆที่เป็นความสามารถของผู้รักษาประตูที่สามารถกดดันให้คู่แข่งยิงผิดพลาดได้ แต่เชื่อเถอะครับว่ามันจะมลายหายไปทันทีเมื่อคนในทีมยิงประตูได้ และชัยชนะเป็นของเรา
บางคนอ้างจะแย้งว่า เฮ้ย ..ฟุตบอลเขาก็เล่นเป็นทีมกันทั้งนั้นแหละ
อาจจะใช่ แต่แล้วทำไมเพื่อนร่วมทีมปล่อยให้หลุดเดี่ยวมาดวลกับผู้รักษาประตูบ๊อย บ่อย..(ฮา)

การเล่นเป็นผู้รักษาประตูนานๆ มันก็ติดเป็นนิสัยในการทำงานไปด้วยเหมือนกันนะครับ.. มีคนบอกว่าผู้รักษาประตูยืนอยู่หลังสุดได้เห็นเกมส์ในภาพกว้าง สามารถตะโกนสั่งการคนโน้น คนนั้นให้ได้ จริงๆก็ได้แต่แหกปากร้องไปแค่นั้นแหละครับ ..

หลายปีมานี้อายุมากขึ้นแม้ว่าใจยังให้แต่สังขารไปไม่ไหว ก็ไม่ใช่นักฟุตบอลอาชีพนี่ครับ แค่เล่นเป็นกีฬาสนุกๆ แต่ในเกมส์ช่วงหลังๆ ผมว่่าเล่นกันแรงไป บางครั้งมีแอบโกงกติกา ทั้งๆที่ค่าตัวก็ไม่มีแถมอาจได้แผล เจ็บตัวฟรีๆ  ดูแล้วไม่ใช่กีฬาอย่างที่เคยชอบ ผมเลยขอบ๊ายบาย..อำลาวงการดีกว่า

สิ่งที่ได้จากการเล่นในตำแหน่งผู้รักษาประตูทำให้ผมเข้าใจได้อย่างหนึ่งว่า..
ในช่วงที่เกมส์พลิกผันคู่ต่อสู้สามารถหลุดผ่านกองหลังมาได้
ผู้รักษาประตูเป็นตำแหน่งผู้เล่นตัวสุดท้ายที่ทีมไว้ใจได้ว่า
จะทำหน้าที่อย่างดีที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เสียประตู..

แม้ว่า.. จะเหลืออยู่เพียงลำพังคนเดียว





“ในเวลาสงบ ท้องฟ้าโปร่งสว่างจ้าด้วยแสงตะวัน ใครๆ ก็แลเห็นว่าเรายืนอยู่ที่ไหนเวลาพายุกล้าฟ้าคะนอง ผงคลีฟุ้งตลบไปในอากาศ ไม่เห็นตัวกัน ต่อพายุสงบฟ้าสว่าง ใครๆ ก็จะเห็นอีกครั้งหนึ่งว่าเรายืนอยู่ที่เดิมและจะอยู่ที่นั่น”

ศรีบูรพา หนังสือพิมพ์ประชามิตรสุภาพบุรุษ ฉบับแรก วันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๗ 

วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

080-449-XXXX เบอร์ที่ไม่เคยโทร..

ผม..

สูญเสียความสามารถในการจดจำหมายเลขโทรศัพท์ไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้  รู้แต่ว่าหากวันใดโทรศัพท์หาย ผมคงกลายเป็นคนไร้ญาติขาดมิตรไปชั่วขณะ เพราะว่าดันใช้โทรศัพท์ทำหน้าที่เหมือนนสมุดหน้าเหลือง เก็บข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อทั้งหมด 
แบบว่า..เครื่องเดียวก็น่าจะเอาอยู่

ตั้งแต่โลกสามารถสร้างมือถือให้ทำหน้าที่ได้มากกว่าการพูดคุยกัน ไม่ว่าจะเป็นดูหนัง ฟังเพลง ดูทีวี เล่นอินเตอร์เนต เป็นเหมือนเลขา ภรรยา เพื่อน และบางครั้งก็เป็นเหมือนเจ้านาย ที่ต้องคอยหมั่นคอยดูแลและรักษาดวงใจไม่ให้มันแบตหมดหรือเมมเต็ม.. มันได้เปลี่ยนแปลงระบบความจำของผมแทบจะสิ้นเชิง ผมกลายเป็นคนหลงๆ ลืมๆ เซ่อๆซ่าๆ จำเบอร์ใครต่อใครไม่ค่อยจะได้ 

หมายเลขโทรศัพท์ส่วนใหญ่ผมจะเมมเก็บไว้ มีเพียงไม่กี่รายที่บันทึกไว้ในไดอารี่สำหรับกรณีฉุกเฉิน เป็นการกันเหนียวเอาไว้หากโทรศัพท์หาย หรือเจ๊งไปแบบไม่ได้บอกกล่าวร่ำลากันไว้ล่วงหน้า 

ด้วยความสะดวกสบายที่เมมง่าย ใช้คล่อง ข้อมูลภายในจึงมีเบอร์ใครต่อใครมากมาย บางครั้งก็จำไม่ได้เจ้าของเบอร์นี้มีแฟน..เอ๊ย คือใคร ถ้าเบอร์ไหนไม่ได้ใช้นานๆ ผมก็จะคัดเลือกเอามาจุดธูปเพื่อขออภัยที่จะต้องลบทิ้งไปก่อน


ข้อดีของการเมมเบอร์โทรติดต่อไว้ในโทรศัพท์ คือ ค้นหาเร็ว ค้นหาง่าย
และหลายๆครั้งก็...หาไม่เจอ

เจ้าของหมายเลขโทรศัพท์บางคนรู้จักมักจี่กันดีถึงดีมาก และได้มีโอกาสเอาใจแลกเบอร์โทรกันไว้ แล้วให้คำสัญญากันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะโทรหา จนแล้วจนรอดก็ยังโทรไปหาไม่ได้
เพราะ..ลืมว่าเมมชื่อมันไว้ว่าอย่างไร

บางวันว่างๆถือโอกาสทำ 5 ส ข้อมูลผู้ติดต่อในโทรศัพท์ เพราะมันเยอะเกินไปหลายเบอร์ไม่เคยได้ใช้ก็ลบทิ้งไปบ้าง ก็ได้แต่หวังว่า ถ้าเจ้าของเบอร์เขาโทรมาเมื่อไหร่ค่อยเก็บเมมเก็บกันไว้อีกที

น่าแปลก..
ในบรรดาหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อทั้งหมดส่วนใหญ่ที่ผมเมมเก็บไว้..
มีอยู่ไม่กี่หมายเลขที่ดูเหมือนยังติดค้างในความทรงจำส่วนลึก
คล้ายๆกับว่ามันได้ฝังตัวเลขสิบหลักไปในรอยหยักของสมองแบบถาวรเรียบร้อย

หนึ่งในนั้นคือ หมายเลข 080-449-XXXX

เบอร์นี้ที่เห็นทีไรก็ได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุขใจ
แต่...ก็ไม่เคยคิดที่จะโทรหาเจ้าของเบอร์นี้สักที

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

ปีที่ 44..

ผมไม่รู้ว่า..
การทำงานของสมอง ในการเก็บข้อมูลความทรงจำของคนเรานั้นเป็นอย่างไร

เป็นเหมือนกันบ้างไหม๊ครับ..
ทำไมบางเรื่องถึงจำได้อย่างติดตราตรึงใจ แต่หลายเรื่องก็เลือนลาง
จนถึงขั้นนึกไม่ออก บอกไม่ถูก

ชีวิตผมมีเรื่องราวที่พอจำได้
ทั้งสุข เศร้า และหนุกหนาน แบบโลดโผนผจญภัยในวัยเด็ก อยู่หลายเรื่อง 
ไม่ว่าจะเป็นแอบปิ๊งเพื่อนสาวสมัยอนุบาล เธอนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานผ่านหน้าบ้านเกือบทุกวัน 
หรือจะเป็นเรื่องที่แอบหนียายไปเที่ยวกับน้า เพื่อไปรอกินข้าว ขนมก้นบาตร ที่วัด
วันๆก็เอาแต่เที่ยวเล่นไม่เป็นสาระ..
ที่หนักๆ ในชีวิต คือ เหตุการณ์ที่ผ่านการเฉียดตายอยู่สองสามครั้ง..
ครั้งแรกยายบอกว่าโดนรถมอเตอร์ไซด์ชน จนฟันร่วงหมดปาก แต่แปลกที่ผมไม่ยักจะจำได้
ครั้งที่สองเกือบจมน้ำตาย เพราะไปเล่นที่แพริมน้ำ มัวแต่เพลินจนเดินหล่นหายต๋อมไปในน้ำ ความทรงจำตอนนั้นผมแค่รู้สึกว่าร่างกายมันเบาสบาย ร่างกายมันกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ 
ตาที่ลืมโพลงในน้ำ เห็นแสงรำไร ไม่ได้รู้สึกทรมานอะไรนัก เพราะคงยังไม่เข้าใจว่าตายเป็นอย่างไร
แต่ก็โชคดีที่มีคนช่วยดึงขึ้นมาได้ทัน และพาไปส่งที่บ้าน

หลังจากจบชั้นอนุบาล..
ยายกับน้าพาผมมาส่งพ่อกับแม่ที่พิษณุโลก ระหว่างที่รอขึ้นรถไฟ
ด้วยความใสซื่อ และไม่เข้าใจถึงอันตรายน้องชายกับผมพากันจูงมือไปเดินเล่นไปอยู่กลางราง
ในขณะที่รถไฟเปิดวูดร้องลั่น เพราะกำลังวิ่งเข้าเทียบชานชาลา..
จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ามีเสียงผู้คนหวีดร้องตกอกตกใจกันมาก 

แต่ก็ดูเหมือนว่า
โชคชะตายังไม่ถึงกับรุกฆาต น้าชายผมใช้กำลังภายในโดดเตะหลานชายทั้งสองคน
ลอยละลิ่วไปกลิ้งคลุกฝุ่น รอดพ้นการตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งไปได้อย่างหวุดหวิด..

ชีวิตเคยล้มหมอนนอนเสื่อต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง
เนื่องจากตะปูติดคอและลงไปกองนอนเล่นอยู่ในท้องเรียบร้อย
แต่ก็โชคดีครับที่มันเข้าทางปากและก็ออกทางช่องทางธรรมชาติ  ทำให้ผมรอดตัวจากการถูกปาดท้องไปได้อย่างหวุดหวิด..

ช่วงประถม..
พ่อแม่ผมถึงจะรายได้ต่ำแต่รสนิยมการเลือกโรงเรียนให้ลูกแกค่อนข้างสูง ส่งให้ผมกับน้องๆเรียนที่ไทยกล้าวิทยา โรงเรียนเอกชนใกล้บ้าน และพวกเรามีผลการเรียนดีมาก
ติดลำดับที่สองที่สามรองจากลำดับที่บ๊วย.. แต่ก็นั้นแหละครับเด็กๆอย่างผมจะไปสนใจอะไร

จนกระทั่งขึ้น ป.6 ครอบครัวอพยพโยกย้ายมาอาศัยอยู่ที่อำเภอนครไทย
ซึงทำให้ผมและน้องๆกลายเป็นซุปตา คว้าตำแหน่งนักเรียนเรียนดี สอบได้ที่ 1 มาได้อย่างงงๆ

อยู่อำเภอนครไทยได้สองสามปี ก็อพยพมาลงหลักปักฐานและก็มาสุดทางที่ด่านซ้าย
.
.
.

ผ่านร้อน ผ่านหนาว มาหลายปี
บางที.. ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเด็กที่ยังไม่(อยาก)โต
ประมาณว่า สังขารเปลี่ยนไป..แต่ใจไม่เคยเปลี่ยน

ชีวิตที่ผ่านมาก็ดีครับ มีทั้งสุข สมหวัง คลุกเคล้ากันไป มีทั้งสิ่งที่สำเร็จและล้มเหลว

ยังมีความฝัน มีจินตนาการ มีอะไรหลายอย่างเหลือเกิน ที่อยากทำ ในปีที่ 44