วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

V FOR VENDETTA

V for Vendetta สร้างจากนิยายภาพที่แต่งโดย อลัน มัวร์ และวาดภาพประกอบโดย เดวิด ลอยด์ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากนวนิยายอมตะอย่าง 1984 ของจอร์จ ออร์เวลล์ และถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี ๒๕๔๗ ภายใต้การกำกับของ เจมส์ แม็คทีก อย่างไรก็ดี อลัน มัวร์ ไม่ประสงค์มีชื่ออยู่ในเครดิตผู้แต่งบทดั้งเดิม เนื่องจากตัวเขาไม่เห็นด้วยกับการนำเอางานของเขามาสร้างเป็นภาพยนตร์นับตั้งแต่ความผิดหวังใน The League of Extraordinary Gentlemen ฉบับภาพยนตร์เมื่อปี ๒๕๔๕ ทำให้เครดิตผู้แต่งบทดั้งเดิมของ V for Vendetta ปรากฎเพียงชื่อของ เดวิด ลอยด์ เพียงรายเดียว (เช่นเดียวกับ Watchmen ผลงานชิ้นเอกของมัวร์ ที่ในฉบับภาพยนตร์นั้นปรากฎชื่อของ เดฟ กิ๊บบอนส์ ในฐานะผู้แต่งนิยายภาพเพียงคนเดียวเท่านั้น) 

เรื่องราวของ V for Vendetta อยู่ในประเทศอังกฤษ ค.ศ 2038 ที่ถูกปกครองโดยฝ่ายขวาจัดนำโดยผู้นำชื่อ อดัม ซัทเลอร์ ซึ่งก้าวสู่อำนาจจากการชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย รัฐบาลของซัทเลอร์ทำการจัดระเบียบสังคมอย่างเข้มงวดในเชิงอนุรักษ์นิยม มีการใช้กำลังกำจัดศัตรูทางการเมือง รวมถึงกลุ่มที่ถูกมองว่า"เป็นภัยต่อศีลธรรมอันดีงาม" มีการควบคุมและบิดเบือนสื่อให้เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาล มีผู้หลักผู้ใหญ่ที่ได้รับความเคารพจากสังคมเป็นสมาชิกพรรคที่เป็นเสมือนเสาค้ำอำนาจ มีการออกกฎหมายควบคุมพฤติกรรมประชาชนโดยอ้างถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีการบิดเบือนและปิดบังประวัติศาสตร์ และที่เด็ดสุดคือ มีการแขวนรูปของซัทเลอร์ไว้บนผนังของทุกบ้าน เวลาผ่านเลยไปจนประชาชนเริ่มจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับการเมืองน้ำเน่าจนกระทั่งการปรากฎตัวของ V ผู้สวมหน้ากาก กาย ฟอว์คส์ ที่ออกมาท้าทายอำนาจรัฐ และจุดดวงไฟแห่งเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนขึ้นมาอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้มีแนวโน้มเอียงไปทางดราม่าปรัชญาการเมืองมากกว่าจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ออกมาต่อสู้แบบขจัดคนพาลอภิบาลคนดี เพราะท่าน V ผู้นี้หาได้ทำเพื่อคุณธรรมค้ำจุนโลกใดๆไม่ แต่ทำเพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเรียกร้องให้ผู้อื่นได้เบิกตาสำรวจศักดิ์ศรีของตนเอง การต่อสู้ของ V ถูกรัฐบาลประณามว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ผู้สร้างความแตกแยก ผู้ทำร้ายสังคม ฯลฯ แต่อย่างไรก็ไม่อาจบิดเบือนจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ภายในตัวประชาชนไปได้... 

จุดนี้นี่เองที่ผมคิดว่าเป็นอะไรที่อุดมคติ และเป็นความโชคดีอย่างเหลือแสนจริงๆของ V ที่มีประชาชนที่"หูตาสว่าง"เป็นอย่างยิ่ง เช่นนี้ และน่าสงสัยเหลือเกินว่าทีมประชาสัมพันธ์ของซัทเลอร์ทำงานกันยังไง ถึงไม่สามารถนำเอาท่านผู้นำซึ่งดำรงตำแหน่งมาอย่างยาวนานและวางรากฐานต่างๆในการยึดเก้าอี้ไว้ได้มากพอสมควรแล้ว เข้าสู่ใจของประชาชนได้ ซึ่งหากคุณลองมองโลกของความเป็นจริงจะพบว่า ผู้นำเผด็จการที่ครองตำแหน่งมาอย่างยาวนานของทุกประเทศในโลก ล้วนทำการประชาสัมพันธ์อย่างแข็งขันจนสามารถครองใจผู้คนได้ "ความจงรักภักดี คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้นำเผด็จการ" จึงเป็นเรื่องน่าสงสัยว่า ซัทเลอร์ อยู่ในตำแหน่งมานานขนาดนั้นได้อย่างไรเมื่อตนไม่สามารถครองความจงรักภักดีจากประชาชนได้ หนำซ้ำยังกลายเป็นที่ขบขันของชาวบ้านชาวช่องเมื่อถูกนำไปล้อเลียนในโทรทัศน์ ซึ่งหากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในประเทศเผด็จการบนโลกแห่งความจริงล่ะก็ เชื่อว่าจะมีโทรทัศน์ถูกทุบทิ้งนับล้านเครื่อง และมีการบุกเผาทำลายสถานีโทรทัศน์แห่งนั้นอย่างแน่นอน (ฮิฮิฮิ) 

นึกย้อนเวลากลับไปหาตัวเองเมื่อครั้งยังอ่อนเดียงสา และชมภาพยนตร์เรื่องนี้ครั้งแรกก็ได้แต่นึกสมเพช เพราะเมื่อครั้งนั้นผมได้ใช้ความพยายามทั้งหมดทั้งปวงในการจับประเด็น การก้าวสู่อำนาจของซัทเลอร์ ด้วยการชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเป็นฐานการสนับสนุนจากประชาชน ด้วยหูตาอันมืดบอดทำให้ไม่อาจมองเห็นพฤติกรรมอันเป็นเผด็จการที่หนังได้ตีแผ่ออกมาอย่างเสร็จสรรพและเข้าใจง่ายไม่ต้องปีนบันได ราวกับว่าป้อนเข้าปากแล้วแต่ทำเป็นดื้อไม่ยอมกิน อย่างไรอย่างนั้น จริงอยู่ผู้นำเผด็จการบางรายอาจขึ้นสู่อำนาจได้ด้วยการเลือกตั้ง แต่ประเด็นสำคัญของเผด็จการไม่ได้อยู่ที่การชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเลย แต่มันอยู่ที่การอ้างเอาความดีงามทั้งหลายทั้งปวงมาสร้างฐานอำนาจให้ตนเองอยู่เหนือบุคคลทั่วไปจนถึงขั้นไม่อาจแตะต้องได้ ป่าวประกาศความดีงามของตนเพื่อเรียกร้องความจงรักภักดีจากประชาชนโดยห้ามตั้งข้อสงสัยเป็นเครื่องตอบแทน ใช้สื่อมวลชนเป็นกระบอกเสียงในการประชาสัมพันธ์ตัวเอง มีข้อหา"กบฎผู้ไม่จงรักภักดี" ไว้โจมตีฝ่ายตรงข้ามและกันท่าสังคมจากความสงสัยในชนชั้นปกครอง ใช้กำลังเข้าปราบปรามประชาชนที่ต้องการเรียกร้องศักดิ์ศรีแล้วบิดเบือนข่าวไปเป็นการยกย่องเจ้าหน้าที่ "ผู้ปฏิบัติหน้าที่เยี่ยงวีรบุรุษเพื่อปราบปรามผู้ไม่หวังดีต่อบ้านเมือง" รวมถึงบิดเบือนประวัติศาสตร์ ด้วยหวังโหมกระพือความดีงามของตนเพื่อเรียกร้องความจงรักภักดีเป็นสิ่งตอบแทน พร้อมทั้งยังกลบเกลื่อนให้ผู้คนหลงลืมวันแห่งการประกาศอิสรภาพ วันแห่งศักดิ์ศรีที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของประชาชนไป แม้จะมีตัวละครที่ค่อนไปทางแฟนตาซีอย่าง V แต่เขาคือสัญลักษณ์ของทุกสิ่งทุกอย่างที่"ความเป็นเผด็จการผู้อ้างอิงศีลธรรมอันดีงาม" ได้พรากไปจากสังคม ดังนั้น V for Vendetta จึงเป็นภาพยนตร์ทรงคุณค่าในเชิงการเมือง ไม่ใช่ภาพยนตร์บู๊สนั่นเพื่อความบันเทิงแต่อย่างใดเลย อย่างไรก็ดี สำหรับประเทศที่อยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการทั้งที่รู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ภาพยนตร์เรื่องนี้คือบททดสอบความตาสว่างชั้นดี ว่ายังคงยึดติดกับความดีงามที่ถูกฉาบติดกันไว้ด้วยแรงประชาสัมพันธ์ เพื่อก่อตัวเป็นโล่ห์พรางกายพร้อมทั้งยังเป็นนิทรรศการสำหรับเรียกร้องความจงรักภักดี จนกระทั่งมองภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นแค่ 2 ชั่วโมงที่กล่าวถึงเรื่องไกลตัวอันแสนน่าเบื่อ หรืออาจเพียงนำเอาประเด็นยิบย่อยไปจับผิดบุคคลตัวเล็กๆที่ไม่นิยม แต่หากว่าดวงตาได้เบิกกว้างและมองเห็นความเป็นมาและความ"ควรจะ"เป็นไปอันแท้จริงแล้ว ภาพยนตร์เรื่อง V for Vendetta จะเป็นกระจกสะท้อนภาพของเรื่องใกล้ตัวที่พบเห็นทุกเมื่อเชื่อวัน ที่จะทำให้ "ซาบซึ้ง" และอิจฉาชาวอังกฤษ(ในเรื่อง)ที่พร้อมใจกันตาสว่างอย่างแท้จริง

เขียนโดย I'M JUST A JEALOUS GUY 

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ลิง 5 ตัว




เรื่องลิง 5 ตัวนี้ เป็นการทดลองทางพฤติกรรมศาสตร์ของวิชาจิตวิทยาที่ปฏิวัติตัวเอง จากการศึกษาเรื่องจิต มาศึกษาเรื่องพฤติกรรมแทน จัดว่าเป็นการกระโดดข้ามสายวิชาการจากสาขามนุษยศาสตร์ เข้าสู่สาขาวิทยาศาสตร์อย่างมั่นอกมั่นใจ   ซึ่งนับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมากทีเดียวพอๆ กับ ความน่าแปลกใจที่คนที่ศึกษาวิชาจิตวิทยาไม่น้อยเลยที่ไม่ตระหนักถึงปรากฏการณ์เช่นนี้ว่าเกิดมีขึ้นมาตั้งนานแล้ว
ทีนี้มาว่ากันเรื่องการทดลองทางพฤติกรรมศาสตร์เรื่องลิง 5 ตัวดีกว่า
กล่าวคือฝรั่งเขาทดลองเอาลิง 5 ตัวมาขังไว้ในห้องหนึ่ง    ตรงกลางห้องมีบันไดตั้งอยู่สูงถึงเพดาน   ที่สุดปลายบันไดนั้นมีกล้วยสุก 1 หวีแขวนอยู่ แต่ถ้าใครไปปีนบันไดเข้าก็จะมีน้ำเย็นเฉียบฉีดกระจายไปเต็มห้องไม่หยุดจนกว่าจะไม่มีใครอยู่บนบันไดนั้น
บรรดาลิง 5 ตัวนั้นได้เรียนรู้เรื่องนี้แบบ “Learning by doing” คือปีนขึ้นไปแล้วก็โดนน้ำเย็นด้วยกันทั้งหมด จนกระทั่งหากเกิดมีลิงตัวไหนหน้ามืด อยากกินกล้วยจะเสี่ยงปีนบันไดขึ้นไปอีก     ลิงอีก 4 ตัวก็ต้องกรูกันเข้าไปขัดขวางและซ้อมลิงตัวที่หน้ามืดเป็นยกใหญ่    เนื่องจากไม่อยากโดนน้ำเย็นให้หนาวสั่นโดยใช่เหตุ
ในที่สุดลิงทั้ง 5 ตัวก็ไม่สนใจที่จะปีนบันไดอีกเลย……เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วฝรั่งก็เอาลิงออกไปตัวหนึ่งแล้วเอาลิงตัวใหม่เข้ามา
เจ้าลิงตัวใหม่นี้เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องแล้วเห็นกล้วยอยู่บนปลายสุดของบันได ก็จัดแจงจะปีนบันได     แต่ก็ถูกลิงรุ่นพี่อีก 4 ตัวรุมลากตัวมา พร้อมกับซ้อมเสียจนเข็ดหลาบไม่กล้าเข้าไปใกล้บันไดอีกต่อไป
คราวนี้ถึงช่วงเวลาที่น่าสนใจมากคือการเอาลิงดั้งเดิมออกจากห้องอีก 1 ตัว    แล้วเอาลิงตัวใหม่เข้ามาไว้แทน   ที่น่าสนใจก็คือเจ้าลิงตัวใหม่ก่อนหน้าลิงตัวใหม่เอี่ยมนี้  จะรวมหัวกับเจ้าลิงตัวใหม่เอี่ยมนี้ปีนบันไดขึ้นไปเอากล้วย หรือว่าจะร่วมมือกับลิงดั้งเดิม 3 ตัวซ้อมเจ้าลิงตัวใหม่เอี่ยม
ผลก็คือ 4 รุม 1
เจ้าลิงตัวใหม่ก่อนหน้านี้โดนแรงกดดันของกลุ่มใหญ่เดิมเข้าร่วมบาทาสามัคคีด้วย ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจึงต้องรุมซ้อมลิงตัวใหม่เอี่ยมด้วย
หลังจากนั้นก็เอาลิงมาเปลี่ยนทีละตัว จนในที่สุดมีลิง 5 ตัวที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการปีนบันไดเลยอยู่ในห้องทดลองเดียวกันนี้   แต่ไม่มีลิงตัวใดสนใจที่จะปีนบันไดอีกต่อไปโดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงเลยว่าทำไมจึงทิ้งกล้วย 1 หวีให้เน่าเสียไปเปล่าๆ
ผลการทดลองเรื่องลิง 5 ตัวนี้    เอาไปใช้อธิบายพฤติกรรมได้ดีพอสมควร  ไม่เฉพาะแต่เรื่องของลิงเท่านั้น   บางทีก็เอามาประยุกต์กับพฤติกรรมกลุ่มของมนุษย์ได้เหมือนกัน
เช่น การรับน้องใหม่,   นโยบายหรือวัฒนธรรมองค์กร (CORPORATE CULTURE) ที่ ยึดถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด แม้จะไม่ สามารถอธิบายเหตุผลหรือที่มาที่ไปของการประพฤติ (NORMS) และ การปฏิบัติ  (STANDARD) ก็ตาม
…..
คำถามถามว่า มีลิงแบบนี้อยู่กี่ตัวใน…..

วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555

I was here

 

...ฉันอยากจะทิ้งร่องรอยของฉันเอาไว้บนทรายแห่งกาลเวลา
 รู้ว่ามีบางอย่าง สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่ฉันทิ้งไว้เบื้องหลัง
เมื่อฉันจากโลกที่ฉันเคยอยู่ไป ฉันจะจากไปโดยไม่เสียใจ
เพราะฉันทิ้งบางอย่างอย่างให้คนได้จดจำ เพื่อที่จะเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่วันลืม.. 

..ฉันแค่อยากให้พวกเขาได้รับรู้ว่าฉันได้ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง
สิ่งที่ฉันทำอย่างดีที่สุด ทำให้คนทุกคนมีความสุข
และสร้างโลกแห่งนี้ที่ฉันเคยอยู่ให้ดีขึ้น
เพียงเพราะว่า . . I was here... ..ฉันเคยอยู่ที่แห่งนี้..

 แปลโดย :: แอดมินพิคซี่

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

The Hero




There's a hero
นั่นไง วีรบุรุษ

If you look inside your heart
ถ้าคุณมองเข้าไปในหัวใจ

You don't have to be afraid
คุณไม่จำเป็นที่จะต้องกลัว

Of what you are
กับสิ่งที่คุณเป็น

There's an answer
นั่นแหละ คือคำตอบ

If you reach into your soul
ถ้าคุณเข้าไปในจิตวิญญาณของคุณ

And the sorrow that you know
และความเศร้าใจที่คุณเคยรู้จัก

Will melt away
จะละลายไป
 
Chorus
 
And then a hero comes along
และวีรบุรุษจะมาพร้อมกับ

With the strength to carry on
พลังที่จะดำเนินต่อไป

And you cast your fears aside
และคุณจะทิ้งความกลัวของคุณออกไป

And you know you can survive
และคุณจะรู้ว่าคุณสามารถมีชีวิตดำเนินต่อไป

So when you feel like hope is gone
ดังนั้นเมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกไม่มีความหวัง

Look inside you and be strong
มองเข้าไปภายในและเข้มแข็งเอาไว้

And you'll finally see the truth
แล้วคุณจะเห็นความจริง

That a hero lies in you
ว่ามีวีรบุรุษอยู่ในตัวคุณ
 
It's a long road
มันเป็นเส้นทางที่ยาวไกล

When you face your world alone
เมื่อคุณ โลกของของคุณ อยู่อย่างเดียวดาย

No one reaches out a hand
ไม่มีใครยื่นมือเข้ามา

For you to hold
เพื่อให้คุณจับ

You can find love
คุณจะสามารถหาความรักได้

If you search within yourself
ถ้าคุณสำรวจภายในของคุณ

And the emptiness you felt
และความรู้สึกว่างเปล่าของคุณ

Will disappear
จะหายไป
 
Chorus
 
Lord knows
ท่านลอร์ดรู้

Dreams are hard to follow
ความฝันนั้นยากที่ไปถึง

But don't let anyone
แต่ไม่ต้องสนใคร

Tear them away
ทิ้งพวกเขาออกไป

Hold on
ดำเนินมันมันต่อไปแม้ว่าจะต้องลำบากก็ตาม

There will be tomorrow
พรุ่งนี้ยังมีเสมอ

In time
ไม่ช้าก็เร็ว

You'll find the way
คุณจะหาเส้นทางของคุณเจอ
 



วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

The Flowers of War


The Flowers of Warเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของความรักและสงคราม การรวมตัวกันของกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าไร้ค่า ผู้ซึ่งได้เปลี่ยนสถานะกลายเป็นวีรชนจากเงามืดของเมือง ที่อยู่ภายใต้การยึดครอง ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นจากความหายนะในเมืองนานกิงปี 1937 แต่กลับถ่ายทอดถึงเรื่องราวที่เจิดจรัสของกลุ่มคนเล็กๆ เรื่องราวความรักที่คาดไม่ถึง เศษเสี้ยวเวลาเล็ก ๆ ของความสุขและการเสียสละเพื่อรักษาความหวังเอาไว้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นตัวแทนของประเทศจีนที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศปีล่าสุด และเป็น 1ใน 5ภาพยนตร์ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำด้วย

คริสเตียน เบล (เจ้าของรางวัลออสการ์จาก The Fighter) ร่วมแสดงกับทีมนักแสดงชาวญี่ปุ่นและจีน ในบท จอห์น มิลเลอร์ นักพเนจรชาวอเมริกันปากเปราะ ผู้มาเยือนนานกิงเพื่อแสวงโชคในตอนที่กองทหารผู้รุกราน เปลี่ยนเมืองให้กลายเป็นซากปรักหักพัง ในขณะที่เขามาเยือนโบสถ์ตะวันตก เพื่อฝังร่างของนักบวชผู้ดูแล เขาก็ได้พบกับเด็ก ๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ ด้วยความเมาไม่ได้สติ เขาได้ทดลองสวมเสื้อคลุมของนักบวชผู้ล่วงลับดู แต่เขากลับพบว่าเสื้อคลุมตัวนั้นมีพลังบางอย่างที่เขาคาดไม่ถึง เขาไม่ได้แค่แสร้งทำตัวเป็นคุณพ่อบาทหลวงเท่านั้น แต่เขายังได้กลายเป็นคุณพ่อไปจริง ๆ เมื่อโบสถ์กลายเป็นสถานที่หลบภัยสำหรับทั้งเด็ก ๆ ที่ไร้เดียงสาและเหล่าผีเสื้อราตรีทั้งหลาย ซึ่งรวมถึงอวี๋โม่ (หนีหนี่) หญิงสาวหัวหน้ากลุ่มผู้มีเสน่ห์ยั่วยวน บัดนี้ ไม่ว่าภัยอันตรายจะรุกคืบเข้ามาคุกคามพวกเขามากแค่ไหน โบสถ์แห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่ที่รวมผู้ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา ที่เต็มไปด้วยดนตรี เสียงหัวเราะ ความรักและความกล้าหาญ

วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555

The Artist

ฮอลลีวูด ปี 1927
จอร์จ วาเลนติน  เป็นนักแสดงภาพยนตร์เงียบที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยความมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ชื่นชอบของแฟนภาพยนตร์มากมาย จนวันหนึ่งเขาได้พบกับ เป๊ปปี้ มิลเลอร์ หญิงสาว ที่เป็นแฟนภาพยนตร์ของเขาในรอบสื่อมวลชนโดยบังเอิญ และต่อมาจอร์จได้เลือกให้เป๊ปปี้ มาเป็นนักเต้นตัวประกอบในภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเขา ซึ่งเป็นการเปิดทางให้เป๊ปปี้ เป็นดาราดาวรุ่งในเวลาต่อมา ในยุคที่หนังเงียบกำลังเฟื่องฟูถึงขีดสุด แต่ขณะเดียวกันเทคนิคการสร้างภาพยนตร์มีเสียง เทคโนโลยีใหม่กำลังได้รับความสนใจทีมงานสร้างหนังได้นำเสนอตัวอย่างหนังมีเสียงให้จอร์จดูและบอกว่านี่คืออนาคต แต่ด้วยความทรนงของจอร์จที่ไม่เชื่อว่าหนังมีเสียง จะมาสู้หนังเงียบของเขาได้เพราะเขาเชื่อว่าคนมาดูการแสดงของเขา ไม่ใช่อยากมาฟังเสียง ทำให้เขาและทีมงานถึงจุดที่ต้องแยกทางเดินตามความฝัน จอร์จลงทุนทรัพย์สินส่วนตัวไปกับการเล่นหุ้น และสร้างหนังเงียบตามความเชื่อของเขา ในขณะที่สาวน้อยเป๊ปปี้ซึ่งไต่เต้าจากตัวประกอบกำลังกลายป็นดาวเจิดจรัสในวงการภาพยนตร์มีเสียงมากขึ้นทุกวัน.. 

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

IN TIME เมื่อเวลาเป็นเงิน..เป็นทอง

ผมเห็นโปสเตอร์หนังเรื่องนี้ ติดอยู่ที่หน้าร้านวิดิโอหลายวันแล้ว เดิมทีคิดว่าคงเป็นหนังแนวบู๊ หักเหลี่ยม โจรกรรม ที่คล้ายกับหลายๆเรื่อง ทำให้ผมปฏิเสธที่จะเลือกเช่าหนังเรื่องนี้มาดูตั้งแต่แรก แม้ว่าพี่แตเจ้าของร้านจะการันตีในความมันส์  จนกระทั่งมีโอกาสแวะเวียนไปที่หาเช่าหนังอีกครั้ง หลังจากที่อ่านเรื่องย่อของหนังเรื่องนี้ มีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมอยากดู...

คุณจะทำอย่างไร เมื่อชีวิตมีเวลาอยู่อย่างจำกัด?
INTIMEเป็นเรื่องราวของโลกอนาคต ที่มีความเจริญถึงขั้นที่สามารถตัดต่อพันธุกรรม ให้มนุษย์คงความเป็นหนุ่ม เป็นสาวที่อายุ 25 ปี ทำให้นักแสดงทุกคนในเรื่องไม่มีคนแก่ให้เห็นแม้แต่คนเดียว..

แต่ถึงกระนั้นชีวิดที่ได้ความเป็นหนุ่มสาว ไม่แก่ ไม่เฒ่า ไม่เหี่ยวไม่ย่น แต่หลังจาก 25ปี เวลาทุกอย่างจะเป็นสิ่งมีค่าสำหรับทุกคน เพราะจะมีชีวิตหลังอายุ 25 ได้เพียงแค่ 3 ปี ในขณะที่ของกินของใช้ต่างๆ ต้องใช้เวลาในการซื้อหา เอาเวลาแลกอาหารและสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย  และหากเวลาหมดลงเมื่อไหร ทำให้คนทุกคนจึงต้องดิ้นรนหาเวลาเพื่อต่อชีวิตไปวัน ใครที่ร่ำรวยสามารถมีอายุยืนยาวได้เป็นอมตะ เวลาจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากได้ พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เวลามาต่อชะตาอายุให้ตัวเอง..

ความสนุกของหนังเรื่องนี้ จึงไม่ได้มีเพียงแค่การไล่ล่าหาเวลาที่มี่ค่ามากกว่าเงินทอง แต่ยังแฝงแง่คิดในเรื่องของเวลาที่สำหรับบางคนมีค่าทุกวินาที   ดูจบแล้วทำให้รู้สึกรัก "เวลา" ขึ้นมาเยอะเลย