วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

IF I CAN DREAM ถ้าผม(ใฝ่)ฝันได้ละก้อ..นะ

ถ้าผมฝันได้ละก้อ..นะ
ผมคงมีเรื่องราวมากมายที่อยากนอนหลับ..แล้วฝันถึง
แม้ว่าจริงๆแล้ว..
ผมไม่ใช่คนชอบฝันกลางวัน ฝันเป็นตุเป็นตะ  ฝันหวาน ฝันเพ้อ ฝันละเมอ หรือว่าฝันเปียก..
เพราะรู้ดีว่าฝันมันก็คือฝัน.. เป็นจินตนาการส่วนลึก ถึงลึกมากเป็นความปราถนาในใจ
ฝันไปก็เท่านั้น เป็นจริงไปไม่ได้ดอก..

แต่ก็อยากจะฝัน..
เพราะในฝัน..อืม นะ
แบบว่า มันโคตรจะมโนได้เลย คนเราสามารถเรียบเรียง แก้ไข แต่งเติม ดัดแปลง ความฝันได้ เปลี่ยนฝันร้ายให้กลายเป็นดี ฝันดีก็ขอฝันอีกรอบ หรือหลายๆรอบ ด้วยการกลับไปนอนฝันใหม่

ฝัน...ก็คือฝันนั่นแหละ
เป็นจริงไม่ได้ เพราะหลายๆเรื่องในชีวิตนั้น
มันเป็นความ ...ฝันลมๆแล้งๆ ออกไปทางแนว "เพ้อ"

มีผู้รู้บอกไว้ว่าว่า
ความฝัน..ถ้ามันนั่งเล่นอยู่กับสติ มันจะมีเวลาคิดฝันบนหลักการของเหตุและผล
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งทีฝัน..ทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ถ้าคุณทำได้..
มันจะกลายเป็นความ "ใฝ่ฝัน" เป็นหนังคนละม้วนกับคำว่า "เพ้อ"

อืม.. ถ้าผมใฝ่ฝันได้นะ




If I can dream *Elvis Presley

There must be lights burning brighter somewhere.
Got to be birds flying higher in a sky more blue.
If I can dream of a better land,
where all my brothers walk hand in hand.
Tell me why,
 oh why, oh why can't my dream come true? Oh why?
 There must be peace and understanding sometime.
Strong winds of promise that will blow away all the doubt and fear.
If I can dream of a warmer sun, where hope keeps shining on everyone.
Tell me why, oh why, oh why won't that sun appear?
 We're lost in a cloud with too much rain.
We're trapped in a world that's troubled with pain.
But as long as a man has the strength to dream he can redeem his soul at last (he can fly) Deep in my heart there's a trembling question.
Still I am sure, that the answer answer's gonna come somehow.
Out there in the dark, there's a beckoning candle, yeah. And while I can think, while I can talk.
While I can stand, while I can walk.
While I can dream. Please let my dream come true...oh… Right now.
Let it come true right now oh yeah

 ****************************************

หากฉันฝันได้ล่ะก็... ขอให้มีแสงสว่างที่กำลังลุกโชติช่วงจรัสจ้ายิ่งกว่าในสักแห่ง 
อยากเป็นเช่นนกที่กำลังโบยบินสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าสีฟ้าพร่างพราว
หากฉันสามารถฝันถึงแผ่นดินที่ดีกว่า ที่ๆมวลพี่น้องของฉันเดินจูงมือกัน...
บอกฉันทีว่าทำไม...โอ้ ทำไมกัน...โอ้ ทำไมฝันของฉันยังมิอาจเป็นจริง...โอ้ ทำไม... 
ขอให้มีสันติสุขและความเข้าใจบ้างในบ้างครั้ง
สายลมอันมีพลังแห่งคำสัญญาที่จะพัดพาความสงกาและความหวาดหวั่นให้มลายหายไป
หากฉันสามารถฝันถึงดวงตะวันที่อบอุ่นยิ่งกว่า ที่ๆความหวังดำรงสาดแสงฉานสู่ทุกผู้คน
บอกฉันทีว่าทำไม...โอ้ ทำไมกัน...โอ้ทำไม
ดวงอาทิตย์จึงมิปรากฏ เราสูญหายไปในผืนเมฆาที่อิ่มล้นเอ่อนองด้วยหยาดฝน
เราติดกับอยู่ในโลกาที่ทุกข์ยากด้วยความเจ็บปวด
แต่ตราบใดที่คนเรามีพลังที่จะฝัน เขาย่อมสามารถไถ่บาปดวงวิญญาณของเขาในที่สุด
(เขาย่อมลอยไป) ลึกลงไปในหัวใจของฉัน
ยังมีคำถามที่สั่นสะท้าน ฉันยังคงมั่นใจว่าคำตอบ...
คำตอบกำลังจะมาเยือนไม่ว่าโดยวิธีใดก็ตามแต่ 
หากข้างนอกมีความมืดมน ย่อมมีเล่มเทียนเป็นสัญญาณ.. และขณะที่ฉันยังสามารถคิด...
ขณะที่ฉันยังสามารถพูด...ขณะที่ฉันยังสามารถยืนหยัด...
ขณะที่ฉันยังสามารถก้าวเดิน...ขณะที่ฉันยังสามารถฝันได้...
ได้โปรดเถิดนะขอให้ความฝันของฉันจงเป็นจริง ณ บัดนี้ ขอให้มันจงเป็นจริง ณ บัดนี้...
By rose
(ที่มา http://pantip.com/topic/30941055)

วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ปลาเป็น..ว่ายทวนน้ำ


ผม..
ก็คงเหมือนคนทั่วไปที่อยากทานเนื้อปลาแซลมอนกับเขาบ้างหากมีโอกาส และไม่ได้สนใจหรอกครับว่าชีวิตของปลาชนิดนี้มันจะเหมือนหรือต่างจากปลาอื่นๆอย่างไร  เคยดูสารคดีแบบผ่านๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวของเหล่าแซลมอน ว่ากันว่าแม่ปลาแซลมอนเมื่อวางไข่แล้ว แม่ปลาจะตาย และเมื่อลูกจะว่ายลงไปสู่ท้องทะเล ใช้ชีวิตผจญภัยกว่า 4 ปี ก่อนที่จะว่ายทวนน้ำกลับขึ้นมายังบ้านเกิด เพื่อวางไข่ รอดบ้าง ไม่รอดบ้าง บางตัวเนื้อถูกเจี๋ยนมาวางเรียงอยู่บนจาน เป็นอาหารชั้นยอด.. บลา ๆ ๆ .. ได้ดูประมาณนั้นแหละครับ ส่วนเนื้อหาอื่นๆไม่ค่อยสนใจ อ้อ.อีกอย่างที่พอจำได้ คือ เนื้อปลาแซลมอนมันอร่อย และแพง.. 

ผมก็รู้แค่นั้น..



ผมมีโอกาสดูหนังญี่ปุ่นเรื่องหนี่ง ซึ่งในบางช่วงบางตอนในหนังมีเรื่องราวเกี่ยวกับเหล่าแซลมอนที่กำลังว่ายทวนกระแสน้ำ ประโยคคำถามบางอย่างแว๊บๆ เข้ามาอีกครั้ง ด้วยความสนใจว่าทำไม?

ปุฉานี้ ก็ได้อาจารย์กรูนี่แหละครับ ช่วยวิสัชนาให้กระจ่าง

ทำให้ผมได้อ่านเรื่องราวอันมหัศจรรย์ของปลาแซลมอน ที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ เกิดความรู้สึกทึ่งในชีวิตธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ปลาแซลมอนมัน "มีชีวิต" อย่างนั้นจริงๆหรือ?

แซลมอนสอนคน

ผู้เขียน "แซลมอนสอนคน" เป็นนักเขียนชาวเกาหลี มีนามกรว่า อันโดฮยอน เขาได้ถ่ายถอดเรื่องราววงจรชีวิต การเดินทางของฝูงแซลมอนจากมหาสมุทรไปยังบ้านเกิด เป็นวรรณกรรมที่น่าอ่านน่าติดตาม  โดยเฉพาะระหว่างทางชีวิตมี คติ ข้อคิดที่แฝงปรัชญามากมาย ให้ทั้งคุณค่าการมีชีวิต ความสุข ทุกข์ ผ่านชีวิตตัวละครที่ชื่อว่า "สีเงิน"

เจ้าแซลมอลสีเงิน มันเป็นปลาที่มีสีเกล็ดแตกต่างจากเพื่อนปลาแซลมอลทั่วไปแถมยังเป็นปลาอารมณ์อ่อนไหวและขึ้สงสัย มันจึงมักมีคำถามที่ชวนให้สงสัยว่าทำไมต้องทำสิ่งนั้น ทำไมต้องทำสิ่งนี้ ทำไมต้องว่ายทวนน้ำจากมหาสมุทร ไกลก็ไกล เหนื่อยก็เหนื่อย ฝ่าอุปสรรคอันตรายต่างๆ เพียงเพื่อกลับไปวางไข่ที่แหล่งน้ำบ้านเกิด  จนกระทั่งวันหนึ่งที่พี่สาวของสีเงินถูกนกอินทรีทะเลโฉบไป

นั่น..จึงเป็นจุดเริ่มต้นความพยายามค้นหาคุณค่า และความหมายของการมีชีวิตอยู่

สีเงินได้มาพบรักกับแซลมอนสาวตาประกายผู้ที่บอกสีเงินว่า
"การว่ายทวนน้ำขึ้นไปเพื่อวางไข่ที่ต้นแม่น้ำ เป็นเหตุผลของการมีชีวิตอยู่" ทำให้สีเงินเริ่มได้เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น มีมุมมอง ความคิดใหม่ๆ มีเรื่องยากๆให้ต้องตัดสินใจ ต้องก้าวข้ามผ่าน และความขัดแย้งที่ต้องต่อสู้ทางความคิดกับบรรดาแซลมอนตัวอื่นๆ

เส้นทางชีวิตที่ต้องแรมรอนเพื่อกลับบ้าน   ระหว่างทางชีวิตของสีเงินได้พบกับความสุข เศร้า เจ็บปวด ความห่วงใย ความสนุกสนานและความรัก ช่วยให้มันนำพาฝูงแซลมอนฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆเพื่อเดินทางกลับไปยังต้นน้ำบ้านเกิด

และ ณ ที่จุดกำเนิด สีเงินได้ตระหนักว่า แท้จริงแล้วการดำรงชีวิตตามวิถีครรลองอย่างที่เป็นอยู่นี้ เป็นคุณค่าสำคัญสำหรับแซลมอนทุกตัว

"ทำไมต้องว่ายทวนน้ำกลับไปวางไข่ " สีเงินถามกับแม่น้ำ
แม่น้ำอมยิ้มและพูดขึ้นว่า
"แซลมอนสีเงินเอ๋ย อย่าคิดว่าเจ้าจะอาศัยแรงของตัวเองเพียงลำพังก็ว่ายทวนน้ำได้นะ" 
 "ทำไมล่ะครับ" 
"แรงของแซลมอนตัวเดียวไม่พอหรอก ต้องอาศัยแรงของทั้งฝูงปลา ที่แซลมอนสูงส่งก็เพราะว่ารู้จักว่ายทวนน้ำด้วยกันเป็นฝูงน่ะ" แม่น้ำตอบ
"แล้วทำไมเราต้องว่ายทวนน้ำด้วยล่ะครับ"
 "การว่ายทวนน้ำ เปรียบเหมือนการตามหาสิ่งที่มองไม่เห็น อย่างความหวังและความฝันนั่นละ แม้จะเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่ก็เป็นสิ่งที่สวยงามสูงส่งนัก แซลมอน หากไม่รู้จักการว่ายทวนน้ำ ก็ไม่ต่างอะไรกับใบไม้เน่าๆ ซึ่งสิ้นไร้ทั้งความหวังและความฝัน" แม่น้ำอธิบายให้สีเงินเข้าใจ


"ทำไมแซลมอนต้องกระโดดข้ามน้ำตก ทำไมไม่ว่ายอ้อมไป" สีเงินซักต่อด้วยความสัย เพราะการกระโดดอาจเป็นอันตรายต่อแซลมอลอย่างมาก

"มันเป็นความท้าทายที่ธรรมชาติมอบให้ผองเรา เพื่อทดสอบว่าจะไต่ข้ามขึ้นไปสู่ต้นน้ำได้หรือไม่ เพื่อดูว่าเราจะประสบความสำเร็จหรือพ่ายแพ้กับชีวิต" 
"แม้จะเป็นแซลมอนกรามโตผู้เย่อหยิ่ง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าน้ำตกที่เป็นอุปสรรคขวางกั้น ก็ยากที่จะแข็งขืนไม่ศิโรราบ"  

นี่คือตัวอย่างเรื่องราวบางช่วงบางตอนที่แฝงข้อคิด หากเราจะต่อยอดความคิดได้จากเรื่องราวการค้นหาและต่อสู้ สัมผัสคุณค่าความงามของการมีชีวิตอยู่ผ่านการเดินทางอันแสนมหัศจรรย์ของแซลมอน เรียนรู้ชีวิต ความคิด ผ่านมุมมองของมัน อาจจะช่วยทำให้เข้าใจคำตอบบางอย่างของชีวิตที่คุณและผมอาจจะยังค้นหาไม่เจอ..

..........................

ทุกปีช่วงปลายฝน ต้นหนาว เหล่าแซลมอนจะพยายามว่ายทวนกระแสน้ำจากมหาสมุทร กลับไปยังแม่น้ำแหล่งกำเนิด เมื่อกลับถึงบ้านเกิดมันจะหาที่วางไข่และรอปฏิสนธิกับสเปิร์มจากแซลมอนตัวผู้ หลังจากวางไข่เสร็จแล้วต่อมาปลาแซลมอนจะตาย จึงมีคำบอกเล่ากันมาว่าปลาแซลมอนกลับไปวางไข่และตายที่บ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งเป็นพฤติกรรมของปลาแซลมอนมาตั้งแต่โบราณไข่จะฟักออกเป็นตัวอ่อนในอีกราว 2 เดือนต่อมา


:: ข้อคิด สะกิดใจ
"แซลมอนไม่สร้างหลุมศพให้ผู้ตาย "
"แซลมอนจะต้องจ้องมองความตายอย่างสงบ
กลั้นความเศร้าเอาไว้เท่านั้น...
และว่ายต่อไป"




Life is just a bowl of cherries : Ken Morris

Life is just a bowl of cherries 
Don't make it serious 
 Life's too mysterious 
You work You save You worry so 
But you can't take your dough When you go, go, go So 
keep repeating It's the berries
The strongest oak must fall
The sweet things in life 
To you were just loaned 
So how can you lose 
What you've never owned 
Life is just a bowl of cherries 
So live and laugh at it all.

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

(คุณ)พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง..(แค่ไหน?)

มีทฤษฎีที่พูดถึง ความเคยชิน..จนชินชา ที่ผมชอบมากเรื่องหนึ่ง คือเรื่องทฤษฎีต้มกบ ซึ่งเป็นทฤษฎีที่มีคนมากมายนำมาอธิบายเกี่ยวกับพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงว่า และได้ข้อสรุปที่น่าสนใจว่า
 "การเปลี่ยนแปลง..แบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป” เป็นการเปลี่ยนแปลงที่อันตรายที่สุด

เพราะมันทำให้คนส่วนใหญ่ตกหลุมลับ/ลวง/พรางจนคิดว่าสามารถเอาอยู่รับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้
บางคนอาจจะทันสังเกตุเห็น
หรือ บางคน...รู้สึกคุ้นชินกับมัน...
แต่ที่ตลกร้าย บางคนเฉย จนเฉี่อยชา มองเป็นเรื่องธรรมดา และไม่ใส่ใจ

สุดท้าย...
การเปลี่ยนแปลงนั้นถึงจุดที่เราไม่สามารถรับมือได้ เพราะว่า..ทุกสิ่งทุกอย่างก็อาจสายเกินไป..

..............................................................................................................................................

นักวิชาการชาวไอริชผู้หนึ่งนามชื่อ Tichyand Sherman (1993) เขาได้เสนอแนวคิดทฤษฎีโดยการทดลองนำกบมาต้มเพื่อจะศึกษาปฏิกิริยาตอบสนองของกบ  โดยหม้อน้ำที่ชาวไอริชนำมาใช้ทดลองนั้นใส่น้ำต่างกัน ใบแรกเป็นใส่น้ำร้อนจัด ใบที่สองเป็นใส่น้ำที่อุ่นสบายๆ และค่อยๆ ทำให้อุ่นขึ้นจนเดือด เขาได้ทดลองโดยนำกบมา 2 ตัว โดยกบตัวแรกเขาเอากบเข้าไปใกล้ๆหม้อน้ำร้อน เพื่อทำให้มันรู้ว่าน้ำที่อยู่ตรงหน้ามันนั้นเป็น “น้ำร้อน” นะเฟ้ย  จากนั้นเขาปล่อยเจ้ากบตัวนั้นลงไปในหม้อน้ำร้อน
ผลคือ เจ้ากบก็กระโดดตัวลอยขึ้นจากหม้อ ทันทีที่เท้าของมันสัมผัสกับผิวน้ำในหม้อ

ส่วนกบอีกตัว เขานำกบมาปล่อยลงในหม้อใบที่สอง  ซึ่งมีน้ำที่มีอุณหภูมิปกติ
เจ้ากบตัวนี้เมื่อมันลงไปในหม้อมันก็ปล่อยตัวนอนเล่นตามสบาย ไม่ได้พยายามตะเกียกตะกายหนีขึ้นมาจากหม้อ โดยหารู้ไม่ว่า..อันตรายที่กำลังเข้ามาเยือน เมื่อน้ำในหม้อเริ่มร้อนขึ้นทีละน้อยๆ มันก็ยังใช้ชีวิตสบายๆของมันอยู่ในหม้อใบนั้น
กว่ามันเริ่มรู้สึกว่าน้ำนั้นเริ่มร้อนมากเกินไป มันก็กลายเป็นกบถูกต้มไปเรียบร้อยแล้ว 
..................................................................................................................................................

หลายปีที่ผ่านมา..
มีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีด้านสาธารณสุขที่รวดเร็วอย่างมาก เทคโนโลยีดิจิตัลเข้ามามีบทบาทแทนระบบอนาล็อก ซึ่งส่งผลต่อการช่วยพัฒนาระบบบริการให้มีความสะดวก รวดเร็ว รองรับจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้น

แต่หลายๆโรงพยาบาลผู้บริหาร คนทำงานก็ยังคิดและทำงานบนวิธีการแบบเดิมๆ.. คำพูดติดปากที่ได้ยินบ่อยๆ คือ มันดีอยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องไปปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงอะไรให้มันยุ่งยาก  ทำไม่ได้ ฯลฯ เราจึงมักเห็นสภาวะที่องค์กร หรือคนทำงานต้องเหนื่อย เครียด หรือประสบปัญหาจากการถูกความเปลี่ยนแปลงไล่ล่า เพราะมองไม่เห็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น..

หากคิดว่าองค์กรของเราทำงานดีอยู่แล้ว บุคลากรของเราก็เก่งอยู่แล้ว แค่คงไม่พอ ไม่งั้นระบบคุณภาพคงไม่ถามคำถามสำคัญว่า วิสัยทัศน์ขององค์กรคืออะไร? หลายๆองค์กรจึงมีไว้เป็นประโยคเท่ห์ๆให้ดูฟังเลิศหรู..

ทั้งๆที่วิสัยทัศน์ คือ การมองอนาคตที่รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอกและเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ..

ความสุขสบายกับระบบเดิมๆ กับสิ่งที่คุ้นเคย มักทำให้เกิดความรู้สึกเฉยชา และเชื่อว่าสิ่งที่ทำอยู่ดีอยู่แล้ว เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยแล้ว องค์กรหลายแห่งจึงไม่เคยคิดอัพเกรดเพื่อสร้างคุณค่า และไม่เคยเตรียมรับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังคืบคลานเข้ามา

ดร.เทียม โชควัฒนา ได้ให้ปรัชญาการทำงานและการดำเนินชีวิตไว้อย่างน่าสนใจว่า
" แค่หยุดอยู่กับที่ ก็กลายเป็นผู้ล้าหลัง นักธุรกิจต้องเป็นคนไม่หยุดนิ่งเพียงวันนี้ แต่ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้ทันสมัย ทันโลก พร้อมที่จะก้าวสู่วันพรุ่งนี้ได้เสมอ.."

บันทึกให้กำลังใจตัวเองไว้วันนี้ว่า..
จงมองให้กว้าง ..  มองให้ไกล
อ่านให้ขาด แม้ว่าสถานการณ์ทุกอย่างยังเป็นปกติ..
.............................................................................................................................................

หมายเหตุ  ในปี 2002 ศาสตราจารย์ด้านสัตวิทยา Dr. Victor H. Hutchison ได้ทดลองเอากบไปต้มจริงๆ  และเขาเฉลยว่า ทฤษฏีต้มกบเป็นเรื่องไม่่ถูกต้อง! เพราะกบมันเป็นสัตว์เลือดเย็น หากคุณต้มน้ำให้อุณหภูมิน้ำเพิ่มขึ้น 1.1 °C ต่อนาที กบก็พร้อมจะกระโดดหนีตายกันแล้ว ไม่จำเป็นให้อุณหภูมิสูงขึ้นถึงจุดอันตราย ทางเดียวที่กบจะอยู่ในหม้อ คือ คุณต้องปิดฝาหม้อเพื่อต้มมัน..

ตลกร้าย หลายคนดันปิดฝาหม้อโดยไม่รู้ว่ากำลังต้มตัวเอง  โอ๊บ โอ๊บ..