วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อย่าคบคนพาล..

สมัยเด็กๆ..

ผมได้ยินได้ฟังคำสอนจากผู้ใหญ่ว่า "คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล.."
แม้จะไม่เข้าใจอย่างถูกต้องนัก แต่ก็แจ่มชัดว่าสอนให้เลือกคบคนดี..

โลกในวัยเด็กของผม..
คนดี กับคนไม่ดีแยกกันชัด ไม่แปลกที่เด็กๆโตขึ้นมาอยากเป็นแพทย์ พยาบาล ทหาร ตำรวจ
เพราะอยากทำดีเพื่อคนอื่น..
ไม่มีเด็กคนไหนอยากเป็นคนไม่ดี เป็นนักเลงหัวไม้ หรือโตขึ้นไปเป็นโจรจ่าย 500..แล้วเดินเข้าสภา
ซึ่งนั่นก็เป็นความเข้าใจที่แยกแยะระหว่างคนพาลกับบัณฑิตอย่างง่าย
แบบเด็กๆ..

เมื่อโตขึ้น..
ผมเริ่มเรียนรู้ว่า การจะดูว่าใครเป็นคนพาล หรือใครเป็นบัณฑิต
ต้องใช้ความศรัทธา ความเชื่อ และต้องกำกับด้วยปัญญาเสมอ

มงคลชีวิต 38 ประการ
ข้อหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า "อย่าคบคนพาล"
คำว่า “พาล”
ที่มีแปลว่า “ตัดประโยชน์ตน ตัดประโยชน์ผู้อื่น”
แปลว่า “โง่” ก็ได้
แปลว่า “อ่อน” ก็ได้
แปลว่า “หนา” ก็ได้

คนพาลจึงมีลักษณะพฤติกรรมที่เห็นชัดๆ คือ
 “คิดแต่เรื่องที่ไม่ดี”
 “พูดแต่คำที่ไม่ดี”
 “ทำแต่กรรมที่ไม่ดี”

ทุกวันนี้..
"คนพาล" ไม่ได้มาในมาดที่เราคุ้นเคยกับแบบเด็กๆ
เดี๋ยวนี้คนพาล มาในคราบของบัณฑิต นักวิชาการ
บางครั้งแฝงตัวอยู่ในอาชีพทหาร ตำรวจ สส. สว. รัฐมนตรี หรือแม้แต่นายกรัฐมนตรี
ซึ่งหากดูผิวเผินอาจแยก "คนพาล" กับ "บัณฑิต" ได้ยากมาก

เพราะถ้าใช้เพียงความเชื่อเขาเล่า ตามที่เขาแชร์กันมา
หรือศรัทธาเพียงเพราะลมปาก รูปลักษณ์ที่หล่อ รวย สวย พูดไพเราะ..
ก็จะกลายเป็นความหลงไหลแบบโง่งมงาย..

แต่ถ้าใช้ปัญญากำกับ..
จะเห็นได้ชัดว่า..
บัณฑิตเทียมเหล่านี้..
คิดแต่เพียงผลประโยชน์ตนเอง..และพวกพ้อง โกงกินชาติ
และคนแวดล้อมก็มักจะแสดงพฤติกรรมเถื่อน ถ่อย บ้าอำนาจ.. สั่งคนเผาบ้านเผาเมืองได้
เพื่อให้ตนเอง และพรรคพวกได้อำนาจ โดยอ้างคำพูดสวยหรูว่ามาตามระบอบประชาธิปไตย..
แถมเอาคนโง่.. มาเป็นผู้นำได้อย่างไม่สนใจใคร

พวกนี้ชอบอ้าง มาตามระบอบประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง..
ปากก็พร่ำแต่คำว่าประชาธิปไตย แต่ทำลายคนเห็นต่างทุกวิธี
คำพูดสวยหรู ดูมีอุดมการณ์ ..เหล่านี้
จึงหลอกได้เพียงคนที่มีความเชื่่อ ความศรัทธาเท่านั้น..

แต่สำหรับคนที่ใช้ปัญญากำกับ เขาจะแยกได้ชัดว่า นี่มัน "พาลตัวพ่อจริงๆ"







วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

The 12 year old girl that silenced...the world for 6 minutes!



สวัสดีค่ะ
ดิฉันเซเวอร์น ซูซูกิ ตัวแทนจาก ECO องค์กรเด็กพิทักษ์สิ่งแวดล้อม พวกเราคือกลุ่มเด็ก อายุ 12-13 ปี ที่พยายามจะสร้างความแตกต่าง วาเนสซ่า ซัทตี้, มอร์แกน ไกส์เลอร์, มิเชล เควก และตัวดิฉัน เราทุ่มเทเงินทั้งหมดของเราเพื่อมาที่นี่ด้วยตัวเอง นั่งเครื่องบินมากว่า 5,000 ไมล์เพื่อมาบอกว่าพวกคุณควรเปลี่ยนแนวทางที่เป็นอยู่ 

ที่ฉันขึ้นมาพูดวันนี้ ฉันไม่ได้ต้องการผลประโยชน์กับตัวดิฉันทั้งสิ้น ฉันจะมาต่อสู้เพื่ออนาคตของดิฉัน สูญเสียอนาคต มันไม่เหมือนกับการแพ้การเลือกตั้ง หรือเสียหุ้นบางจุดในตลาดหุ้น ฉันมาพูดที่นี่ก็เพื่อลูกหลานรุ่นต่อๆไปของเรา ฉันมาที่นี่เพื่อพูดแทนเด็กๆที่ยากลำบากทั่วโลกที่ต้องร้องไห้โหยหวน และเจ็บปวด ฉันมาพูดแทนสัตว์นับไม่ถ้วนที่ตายไปทั่วโลกเพราะพวกมันไม่มีที่จะให้ไปแล้ว 

ฉันกลัวที่จะออกไปสู้กับพระอาทิตย์แล้วตอนนี้
เพราะว่ามันมีช่องโหว่ในชั้นโอโซนของเรา
ฉันกลัวที่จะสูดอากาศ
เพราะฉันไม่รู้ว่ามีสารเคมีอะไรปนอยู่บ้าง
ฉันเคยไปตกปลาที่รัฐแวนคูเวอร์ บ้านของฉันกับพ่อ จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้ เราเจอปลาที่เต็มไปด้วยโรคมะเร็งนานาชนิด 
และตอนนี้เราก็ต่างรู้ว่า ทั้งสัตว์และพืชต่างกำลังจะสูญพันธ์อยู่ทุกวัน และกำลังจะสูญหายไปตลอดกาล 

ทั้งชีวิตของฉัน ฉันใฝ่ฝ้นอยากจะเห็นฝูงสัตว์ป่ามหึมา, ป่าไม้และป่าดงดิบที่เต็มไปด้วยนกและผีเสื้อ 
แต่ตอนนี้ฉันสงสัยว่า พวกมันจะอยู่ถึงให้รุ่นลูกหลานของฉันได้เห็นหรือไม่ 

พวกคุณเคยต้องกลุ้มเรื่องพวกนี้ตอนอายุเท่าฉันไหมหละ ทั้งหมดกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเรา เพราะเรากลับทำราวกับว่าเรามีเวลาเหลือเฟือที่จะหาทางแก้ไขได้ทัน

ฉันเป็นแค่เด็ก และฉันก็ไม่มีทางแก้ไขได้ทุกสิ่งหรอก 
แต่..ฉันอยากให้พวกคุณรู้ว่า พวกคุณก็ไม่มีเหมือนกัน 
พวกคุณไม่รู้วิธีซ่อมช่องโหว่ในชั้นโอโซนเรา 
พวกคุณไม่รู้วิธีพาปลาแซลมอนออกจากน้ำเน่า 
พวกคุณไม่รู้วิธีชุบชีวิตสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว 
และพวกคุณไม่สามารถชุบชีวิตผืนป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์ซึ่งตอนนี้กลายเป็นทะเลทรายไปแล้ว 

ถ้าพวกคุณไม่รู้วิธีซ่อมมัน ก็ได้โปรด หยุดทำลายมันเถิด ณ ตอนนี้ 
คุณคือตัวแทนของรัฐบาลประเทศของคุณ นักธุรกิจ ผู้จัดการ นักข่าว นักการเมือง แต่จริงๆแล้วพ่อและแม่ของคุณ พี่น้องของคุณ ลุงป้าน้าอาของคุณ และพวกคุณทั้งหลาย ก็คือลูกกันทั้งนั้น 

ฉันเป็นแค่เด็ก แต่ฉันรู้ว่าเราคือครอบครัวใหญ่ถึง 5 พันล้านชีวิต แต่แท้ที่จริงแล้วมีถึง 30 ล้านสายพันธุ์ต่างหาก พรมแดน และรัฐบาลไม่มีทางแบ่งแยกเราได้ 

ฉันเป็นเพียงแค่เด็ก ที่รู้ว่าเรากำลังเผชิญสิ่งนี้ร่วมกัน และควรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อเป้าหมายเดียว ตอนฉันโกรธ ฉันก็ยังไม่ตาบอด และตอนฉันกลัว ฉันก็ไม่เกรงกลัวที่จะบอกให้โลกรู้ว่าฉันรู้สึกอย่างไร 

ในประเทศของฉัน เราสร้างทางเลือกเยอะเกินไป 
เราซื้อแล้วก็ทิ้ง ซื้อแล้วก็ทิ้ง 
และแถมประเทศทางเหนือก็ไม่แบ่งปันให้กับผู้ด้อยโอกาส 

แม้ว่าเราจะมีมากเกินพอแล้ว เราไม่กล้าที่จะแบ่ง เราไม่กล้าที่จะแบ่งความรวยให้คนอื่นบ้าง ในแคนาดา เรามีชีวิตที่ครบครัน เรามีอาหาร, น้ำและที่อยู่อาศัยมากมาย เรามีนาฬิกาข้อมือ จักรยาน คอมพิวเตอร์ และทีวี ไม่กี่วันก็เบื่อ 

สองวันก่อน ที่บราซิลนี้แหละ เราถึงกับต้องช็อค เมื่อเห็นเด็กบางคนต้องใช้ชีวิตอยู่ข้างถนน และนี้คือสิ่งที่เด็กคนหนึ่งบอกกับฉัน 
หนูหวังว่าหนูจะรวย และถ้าหนูรวยจริง 
หนูจะให้อาหาร, เสื้อผ้า, ยา, ที่อยู่ และความรักความห่วงใยให้กับเด็กข้างถนนทั้งหมด 
ถ้าขนาดเด็กข้างถนนที่ไม่มีอะไรเลย ยังอยากที่จะแบ่งปัน แล้วทำไมเราผู้ซึ่งมีทุกสิ่ง กลับยังโลภกันได้เช่นนี้ ฉันหยุดคิดไม่ได้ ว่านี้ คื่อ เด็กในวัยเดียวกับฉัน ที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่เกิด ซึ่งฉันก็สามารถเป็นเด็กพวกนั้นที่อาศัยอยู่ที่ฟาเวลวัส ริโอ ได้เช่นกัน 

ฉันสามารถเป็นเด็กอดอยากที่โซมาเลียได้ หรือเป็นเหยื่อของสงครามที่ตะวันออกกลางก็ได้ 
หรือขอทานในอินเดีย ฉันเป็นเพียงเด็กที่รู้ว่าเงินทุนสงคราม ควรจะนำมาใช้ตอบคำถามเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และจัดหาที่อยู่อาศัย 

โลกมันจะน่าอยู่ขึ้นมากแค่ไหน 
คุณลองนึกดู ที่โรงเรียน แม้แต่อนุบาล
คุณสอนให้เราปฏิบัติยังไงต่อโลก 
คุณสอนให้เราห้ามเล่นกับคนอื่น สอนให้คิด 
สอนให้เคารพคนอื่น สอนให้เก็บกวาดสิ่งที่ทำ 
สอนว่าห้ามทำร้ายสิ่งมีชีวิตอื่น ให้แบ่ง อย่าเป็นคนงก 
แล้วทำไมคุณถึงทำสิ่งที่คุณห้ามไม่ให้เราทำล่ะ 

จงตะหนักว่าทำไมคุณถึงเข้าร่วมประชุมที่นี่ 
คุณทำไปเพื่อใคร เราคือลูกหลานของคุณ 
คุณเป็นคนตัดสินว่า คุณอยากอยู่บนโลกแบบไหนในอนาคต
พ่อแม่ควรจะปลอบใจลูกด้วยการพูดว่า ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น โลกยังไม่แตกซักหน่อย พ่อกับแม่ทำดีที่สุดแล้ว แต่ฉันว่า พวกคุณคงจะพูดอย่างนั้นกับเราไม่ได้แล้วล่ะ เด็กอย่างพวกเราเคยสำคัญกับพวกคุณบ้างไหม พ่อของฉันบอกเสมอว่า ลูกคือสิ่งที่ลูกทำ ไม่ใช่สิ่งที่ลูกพูด ก็นั่นแหละ สิ่งที่พวกคุณทำ ทำให้พวกเขาร้องไห้ทุกกลางคืน คุณออกไปพูดว่าคุณรักเรา 
แต่ฉันขอท้าคุณเลย ขอเถอะ ช่วยทำอะไรให้สมกับคำพูดหน่อย ขอบคุณค่ะ

The girl who silenced the world for 6 minutes by Severn Cullis-Suzuki

วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556

THE CIDER HOUSE RULES : "ผิดหรือถูก..ใครคือคนกำหนด"

ผมเลือกซื้อหนังเรื่องนี้รวมๆกับหนังเรื่องอื่นอีกสองเรื่อง ซึ่งเป็นหนังที่ทางร้านจัดโปรโมชั่น ด้วยตัวเลขที่เตะตา และราคาที่เตะใจติดหราอยู่บนกล่อง ทำให้ตัดสินใจไม่ยาก โดยเฉพาะหนังแนวดราม่า และมีรางวัลออสการ์การันตีถึงสองรางวัลเป็นกลุ่มหนังสะสมที่ผมชอบซื้อเก็บเอาไปไว้ดู

 "ผิดหรือถูก..ใครคือคนกำหนด" คือชื่อภาษาไทยของหนังเรื่องนี้ เดิมทีผมคิดว่าเนื้อเรื่องคงเรื่อยๆเอื่อยๆ ออกแนวเศร้าเคล้าน้ำตา ตามสไตล์หนังดราม่า สำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบหนังแนวนี้คงจะบอกว่าน่าเบื่อ ดูเหมือนว่าผมเองก็คิดเช่นนั้น ทำให้ผมเก็บหนังเรื่องนี้ ไว้ในชั้นหนังสะสมอยู่เสียนานจนเกือบลืมไปแล้วว่ายังไม่เคยได้ดู จนกระทั่งได้มารื้อชั้นปัดฝุ่นเก็บกวาด ทำความสะอาดบ้านต้อนรับเทศกาลสงกรานต์  หลังเสร็จภาระกิจ จึงลองหยิบเรื่องนี้มาดูแบบไม่ได้ตั้งใจนัก คิดว่าถ้าไม่มีอะไรน่าสนใจก็ค่อยเก็บใส่กล่องไว้เหมือนเดิม

เรื่องของเรื่องเปิดตัวที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หนังเรื่องนี้ย้อนยุคพาผู้ชมกลับไปในช่วงที่โลกยังห่างไกลความวุ่นวายอย่างในทุกวันนี้ แค่ฉากของเรื่อง การแต่งกาย เครื่องไม้เครื่องมือ การเดินทางสัญจร และวิถีการดำเนินชีวิตของคนในยุคนั้น ก็ทำให้ผมเพลินไปกับการติดตามเนื้อเรื่องของหนังที่ค่อยๆชวนคนดูให้ได้คิด และตระหนักความเป็นไปของชีวิตผ่านตัวละครแต่ละคน.. มารู้ตัวอีกทีก็ถึงตอนที่หนังจบลงเสียแล้ว

โอเมอร์ เวลส์ เด็กหนุ่มที่เติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า โดยการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจาก หมอลาร์ซ ก่อนหน้านี้เคยมีครอบครัวมาขอรับโอเมอร์ไปดูแลแต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะกำหนดให้เขาต้องอยู่ เพื่อทำตัวให้มีประโยชน์กับคนที่นี่ และนั่นเป็นโอกาสที่ทำให้เขาได้รับการถ่ายทอดวิชาทางการแพทย์จากการปฏิบัติเป็นเวลายาวนานหลายปี จนเป็นหมอลาร์ชบอกบอกว่าเขาคือหมอทางสูตินรีเวชมือดี  ซึ่งหมอลาร์ซหมายมั่นปั้นมือที่จะให้เขาดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่นี่ต่อไป แต่โอเมอร์ยืนยันเสมอว่าเขาไม่ใช่ และมีแนวคิดที่ขัดแย้งกับหมอลาร์ซในเรื่องของการทำแท้งว่าไม่ใช้สิ่งที่ถูกต้อง 

ทุกๆวันชีวิตของโอเมอร์อยู่กับการดูแลหญิงที่มาคลอดแล้วทิ้งลูกไว้ หรือไม่ก็เป็นลูกมือช่วยทำแท้งให้กับหมอลาร์ซ และการใช้ชีวิตร่วมกับเด็กกำพร้าที่แต่ละคนเฝ้านับวันรอพ่อแม่บุญธรรมมาขอรับไปเลี้ยงดู  จนกระทั่งวันหนึ่งเขามีโอกาสพบชายหญิงคู่หนึ่งที่มาทำแท้ง และทำให้เขาตัดสินในทีจะขอออกไปสัมผัสกับโลกภายนอกที่เขาไม่เคยรู้จัก โดยเขาไปเริ่มต้นชีวิตเป็นคนงานที่ไร่แอปเปิ้ลของชายหญิงคู่นั้นซึ่งในระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ในไร่แอปเปิ้ล โอเมอร์ได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตหลายอย่าง แหกกฏเกณฑมากมาย แม้กระทั่งการยอมในสิ่งที่เขาพยายามปฏิเสธมาตลอด นั่นคือทำแท้งให้กับคนงานในไร่ที่ตั้งท้องกับพ่อของตัวเอง..

ในหนังเรื่องนี้มีความขัดแย้งหลายอย่างที่น่าสนใจ เป็นต้นว่า สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ก็เป็นสถานที่รับทำแท้งแบบลับๆ หมอลาร์ซที่รักเด็กและเอ็นดูเด็กกำพร้าทุกคนอย่างจริงจัง แต่ก็สนับสนุนเรื่องการทำแท้ง ความรักของพ่อที่เห็นแก่ตัวจนกระทั่งทำร้ายลูกสาวของตัวเอง หรือแม้กระทั่งอารมณ์รักของพระเอกกับหญิงสาวที่แอบนอกใจแฟนหนุ่มของตัวเองด้วยเหตุผลที่ว่าทนอยู่คนเดียวไม่ได้..

ผมไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของวลีอมตะที่ว่า "กฏเกณฑ์ต่างๆ..มีไว้แหก " หนังเรื่องนี้ดูจะเป็นสิ่งที่ยืนยันประโยคดังกล่าวเป็นแน่แท้ เพราะในเนื้อเรื่องมีการแหกกฏเกณฑ์หลายอย่าง โดยเฉพาะประโยคโดนใจที่ว่า " มันเป็นกฏที่ผู้สร้างไม่ได้ใช้..เราจึงไม่ต้องปฏิบัติตาม" 

การดำเนินชีวิตของตัวละครในหนังเรื่องมีหลายเรื่องเป็นมุมมอง ที่แตกต่างจากสามัญสำนึกของคนทั่วไปทั้งในด้านศีลธรรม การโกหก บิดเบือน หรือการแหกกฏเกณฑ์ต่างๆที่เราทุกคนต่างรู้ว่าอะไรควรไม่ควร แต่หลายครั้งคนเราก็เลือกทำในสิ่งที่ตนเองอยากทำอยู่นั่นเอง แต่ไม่ว่าจะเลือกทำอย่างไรบทสุดท้ายของความเข้าใจ ที่ผมพอสรุปได้ นั่นคือ "ความจริง..ก็ยังคงเป็นความจริงของมันอยู่วันยันค่ำ"

ชื่อของหนัง THE CIDER HOUSE RULES ซึ่งมีที่มาจากแผ่นกระดาษที่ติดอยู่ข้างฝาในโรงนอนของคนงานเก็บแอปเปิ้ลที่อ่านหนังสือไม่ออก แทบไม่มีใครสนใจมันด้วยซ้ำไป และทุกอย่างที่เป็น กฏข้อห้ามคนงานทุกคนต่างพากันแหกกฏทุกข้อ 

ในการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยกฏเกณฑ์ต่างๆมากมายบนโลกใบนี้
คำตอบที่ดี บางทีก็อยู่ที่การดำเนินชีวิตตาม "หัวใจ" ของเรานี่เอง



" มันเป็นกฏที่คนสร้างไม่ได้ใช้ เราจึงไม่จำเป็นที่จะต้องทำตาม "



THE CIDER HOUSE RULES
ฉายในปี 1999
จากบทประพันธ์ของ JOHN IRVING
WINNERS ACADEMY AWARDS
- Best supporting Actor : Michael Caine
- Adapted screenplay : John Irving

วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

ถ่ายภาพด้วยใจไม่ใช่ด้วยตา


ชื่อซัมซุง ในแง่มุมที่ผมรู้จักนอกจากผลิตภัณฑ์โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค โทรศัพท์มือถือ แท๊ปเลต แล้วนั้น ยังมีสินค้าในแบรนด์ของซัมซุงที่ไม่เคยอยู่ในสายตา(สั้นๆ)ของผม คือ กล้องดิจิตตอล แม้ว่าผมเองจะจัดว่าเป็นสาวกซัมซุง(อย่างไม่ได้ตั้งใจ) แต่ก็ยังไม่เคยคิดที่จะลองซื้อกล้องยี่ห้อนี้มาใช้ดูซะที 

วันหนึ่งผมได้ดูโฆษณากล้องดิจิตอลชิ้นหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าซัมซุงเองได้พัฒนาไปถึงขั้นสุดยอดของการขายกล้องถ่ายรูปด้วยการขายโดยไม่พูดถึงความสามารถใดๆ ของกล้อง ที่น่าสนใจคือ เขาใช้คนตาบอดเป็นผู้พรีเซนเตอร์โฆษณาครับ

คนตาบอด..กับกล้องถ่ายรูป ความคิดแรกที่แว๊ปเข้ามาในหัว คือ
แล้วมันจะต่างอะไรกับคนหัวล้านได้หวี..

แต่โฆษณาชิ้นนี้..
ทำให้ผมนึกถึงประโยคอมตะ
ของเหล่าจอมยุทธ์ในหนังจีนกำลังภายในที่กล่าวไว้ว่า "กระบี่ อยู่ที่ใจ"

เนื้อเรื่องในโฆษณาเป็นเรื่องราวของการสอนถ่ายรูปให้กับเด็กๆ ตาบอดจำนวน 11 คน หลังจากนั้นทีมงานได้พาเด็กๆ ออกไปถ่ายรูปนอกสถานที่ตามสถานที่ต่างๆ กลางสายลม แสงแดด ทุ่งหญ้า ลานหิมะ ฯลฯ ให้เด็กๆได้ถ่ายภาพตามเสียงที่ได้ยิน กลิ่น และการลูบไล้สัมผัส หลังจากนั้นได้นำภาพถ่ายมาจัดแสดง ที่พิเศษ คือ ผลงานภาพถ่ายแต่ละภาพที่ถ่ายโดยเด็กตาบอดเหล่านี้ จะมีการทำภาพนูนต่ำมาจัดแสดงอยู่ข้างๆกัน เพื่อให้เด็กที่เป็นผู้ถ่ายภาพสามารถสัมผัสได้ว่าภาพของตัวเองเป็นอย่างไร.. 

กล้องถ่ายรูปคงไม่ใช่เป็นเพียงอุปกรณ์ของคนที่มองเห็นอีกต่อไปแล้ว..
แต่จะเป็นอุปกรณ์สำคัญ สำหรับคนที่ต้องการจะบันทึกเรื่องราวของโลกใบนี้ 

open your mind’s eye
ถ่ายภาพด้วยใจไม่ใช่ด้วยตา

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อีกด้านของชีวิตที่ไม่ได้สวยงาม


นั่งดูแบทแมน..อัศวินรัตติกาลจบ ลูกชายที่นั่งดูอยู่ข้างๆ ถามคำถามขึ้นมาอย่างน่าสนใจว่า.. 

" ฮีโร่ส่วนใหญ่ทำไมต้องแต่งชุดประหลาดๆ ด้วย"
ผมยิ้มให้กับคำถาม แต่ยังไม่มีคำตอบให้กับลูกชาย 
" ทำไมนะเหรอ..อืมม" ผมครุ่นคิดไปกับคำถาม
จะว่าไปแบทแมนภาคนี้ทำได้สนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจ ชุดแบทแมนที่ออกแบบใหม่ สเปเชียลเทคนิคพิเศษและความสามารถของนักแสดง แม้ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ดีที่สุดในรอบปี แต่กลับมีสาระบางอย่างแฝงไว้ ให้เราได้ขบคิดพอสมควร 

จากประสบการณ์วัยเยาว์ของเด็กชายที่พ่อแม่ถูกทำร้ายจากอาชญากรจนเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา ผลิกผันชีวิตตัวเองไปสู่เงามืดที่คอยตามล้างตามล่าเหล่าร้าย ชีวิตในเมืองที่กฏหมายทั่วไปไม่อาจใช้ได้ผล ผู้คนที่ได้รับการช่วยเหลือจากฮีโร่ในชุดค้างคาวให้รอดพ้นภัยอันตรายจากกลุ่มคนไม่ดีทั้งหลาย เชื่อแน่ว่าคนเหล่านั้นคงชื่นชมและนิยมชมชอบแบทแมน.. 

แต่คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ย่อมไม่รู้ว่า ความดีที่แบทแมนทำนั้น ทำไปเพื่ออะไร บ้าหรือเปล่า  มันสำคัญและจำเป็นอย่างไรสำหรับคนทั่วไป

หรือว่า..
การชื่นชมคนดี หรือความดีที่ใครคนหนึ่งกระทำ มันขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่ทำนั้นถ้าคนที่รับ หรือคนที่ได้สัมผัสรู้สึกว่ามันดี มันก็คือ ดี และถ้ามันมีผลต่อตนเองด้วยแล้ว..ยิ่งดีใหญ่ 

แต่ถ้า..
มันเป็นสิ่งที่ตัวเองไม่ได้รับผลใดๆ หรือซ้ำร้ายไปกว่านั้น กลับเป็นผู้เสียผลประโยชน์โดยตรง แน่ใจได้ว่ามันคงมิใช่ความดีสำหรับบางคน

การเข้ามาของโจ๊กเกอร์ ศัตรูตัวร้ายของแบทแมนในภาคนี้ต่างจากอาชญากรธรรมดา ที่ฉลาดล้ำลึก โหดและมีลูกบ้า แถมรักษาสัจจะวาจาในการฆ่า..ได้อย่างดีเยี่ยม จะเจ็บ จะตายเท่าไหร่ เขาไม่สนใจในวิธีที่ให้ได้มาซึ่งชัยชนะ.. 

ความหวาดกลัวจึงถาโถมเข้าไปในหัวใจ หัวใจของคนทั่วไป ความดีที่ไม่อาจคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพยสิน ผู้คนในสังคมส่วนใหญ่จึงอยากให้แบทแมนยอมจำนน.. 

เนื้อเรื่องในตอนนี้.. ยังชี้ให้เห็นถึงความเป็นคนของแต่ละคน ที่มีโอกาสเลือกทำในสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง แม้บางคนจะเคยคิดดี มีอุดมการณ์ที่มุ่งมั่น แต่เมื่อมาเจอกับความสูญเสียบางอย่าง.. ทำให้ความดีในใจถูกสั่นคลอนจนก้าวข้ามไปสู่ความด้านมืดในจิตใจที่เลวร้ายของตัวเอง 

จุดไคลแมกซ์ของเรื่อง ดูจะเป็นตอนที่ ผู้คนมากมายบนเรือสองลำที่ถูกวางระเบิดไว้ 
เรือลำหนึ่งบรรทุกผู้โดยสารทั่วไปทั้งเด็กและผู้ใหญ่

ส่วนอีกลำบรรทุกบรรดาเหล่าอาชญากรวายร้ายที่เป็นนักโทษอุกฉกรรจ์  โดยมีเงื่อนไขให้ผู้คนในเรือจะต้องตัดสินใจร่วมกันว่าจะระเบิดเรืออีกลำตามคำขู่ของ โจ๊กเกอร์หรือไม่.. 

เป็นสิ่งที่ท้าทายความดีงามในใจของมนุษย์ทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง
เพราะการเลือกที่จะให้ตัวเองตาย หรือเลือกที่จะยอมทำร้ายคนอื่น 
ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริงอย่างหนึ่งที่ว่า.. 
ต่อหน้าคนหมู่มาก ไม่มีใครอยากแสดงความเห็นแก่ตัว"   

แม้เรื่องจะจบลงด้วยความดีงามเป็นผู้ชนะตามประสาหนังแอคชั่นทั่วๆไป แต่ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้สำหรับผม คือ บุคลิกของตัวแสดงแต่ละตัว ที่แสดงออกถึงความเป็นธรรมดาๆของคนในสังคม ได้อย่างดี ความธรรมดาที่มีรัก โลภ โกรธ หลง และอำนาจของมนุษย์ ไม่ว่าจะในด้านมืด หรือด้านที่สว่าง ล้วนแล้วแต่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเอง สังคม.. หรือแม้แต่โลกกลมๆ ใบนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ 

และด้วยความเป็นปถุชนคนธรรมดานี่แหละที่บางครั้งจิตใจที่อ่อนไหวมันผลักไสไล่ส่งเรา กลับไปกลับมาระหว่างด้านที่ดีและด้านที่ไม่ดี 

สำหรับคนทั่วไป
ถ้าแบทแมนคือตัวแทนของความดี ด้านที่สว่าง..ของมนุษย์ 

เป็นไปได้หรือไม่ว่า.. 
โจ๊กเกอร์ ก็คือ ตัวแทนของความดี(ที่ไม่งาม) ของคนที่มีชีวิตอยู่ในด้านมืดเฉกเช่นเดียวกัน.. 
และบางทีก็เพราะคนดีๆ นะแหละที่ผลักดันคนดีด้วยกันไปสู่ด้านที่ไม่ดีโดยไม่รู้ตัว.. 

โลกยังคงจำเป็นที่ต้องมีความชั่วและความดีอยู่คู่กัน 
แต่คงไม่ใช่.. 
เพียงเพื่อให้เราได้เรียนรู้ว่าคนดีต่างจากคนไม่ดีอย่างไรเท่านั้น

เพราะอีกด้านของชีวิต 
แม้ไม่ได้สวยงาม.. แต่ไม่ได้หมายความว่า..จะไม่มีความดีงามอยู่ซะเลย 

" ฮีโร่ส่วนใหญ่ ทำไมต้องแต่งชุดประหลาดๆ ด้วยนะเหรอ"
ผมทวนคำถามอีกครั้งก่อนจะยิ้มและตอบว่า 

 "  ดึกแล้ว..ไปนอน "




ที่นั่ง..

นี่เธอ.. 
ร้องไห้ไปมันก็เท่านั้น
ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกนะเธอ

จะมามัวโศกเศร้า เสียใจ..ไปทำไม
น้ำตา ไม่ช่วยให้มีอะไรดีขึ้นมาสักหน่อย.. 

โลกทุกวันนี้..

ไม่มีที่ยืนสำหรับคนอ่อนแอหรอกนะ 









 อืม.. คงจริงอย่างเธอว่า 
 แต่.. 
 จะว่าไป ก็ยังโชคดี..นะ 
 ที่โลกนี้.. 
 ยังพอมี.. 
 ที่นั่งเหลืออยู่บ้าง.. 
 ฉันว่า.. 
 เรา.. 
 มานั่งพักกันก่อนเถอะ 
 แบ่งๆ กันนั่ง 
ก็คงพอนะ.. 
 เธอว่าไหม๊




ความผิดพลาดเล็กๆ(ที่ยิ่งใหญ่)

ผมพาครอบครัวออกไปทานข้าวนอกบ้าน..
ฉลองกันเนื่องในโอกาสที่ ลูกชาย ฯคณะฯ ท่านได้กลับมากลับมาติดยศอีกครั้ง..
น่าปลื้มใจแทนจริงๆ..
ว่าจะไม่แขวะการเมืองแล้วเชียวน๊า..
อดไม่ได้ สงสัยหมาในปากขาดสารอาหาร พาลกัดคนอื่นไปทั่ว แง่มๆๆ.. 

วันนี้พาครอบครัวไปกินข้าวนอกบ้าน ร้านปลาเผาเจ้าอร่อย
ที่จริง.. เรื่องของเรื่องก็ไม่มีอะไร บรรยากาศ รสชาติอาหารทุกอย่าง ก็ลงตัว
สนนราคาก็ไม่สูงจนเกินในยามข้าวยากน้ำมันแพง อย่างนี้ ..
ราคาเบาๆ แต่หนักท้อง 

ระหว่างที่ผมกับคุณภรรเมียกำลังเมามันส์กับการแทะปลา
เราก็ปล่อยให้เด็กวิ่งเล่นกับเด็กๆแถวนั้น อีก 2-3 คน เด็กๆ ดูจะคุยกันถูกคอ
ได้ยินเสียงหัวร่อกันอย่างหนุกหนาน..
จนได้เวลาเช็คบิลกลับบ้าน น้องนันท์ลูกชายคนเล็กของผม
ดูมีท่าทีแปลกๆ มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในกระเป๋ากางเกง
ผมขอดูแกก็ไม่ยอมให้ดู เลยไม่ได้สนใจจะซักอะไรต่อ
รีบพากันกลับบ้าน เพราะฝนฟ้าดูไม่เป็นใจ...
ผมจำไม่ได้ซะด้วยว่าเคยสาบดสาบานไว้กี่ครั้ง .. 

กลับมาถึงบ้านทำโน้น ทำนี่ไปเรื่อย..
ได้ยินเสียงเจ้าลูกชายคนโต กับเจ้าคนเล็กส่งเสียงกันเอะอะ
ผมจึงส่งคุณภรรยาเข้าไปไกล่เกลี่ย สงบศึก..

แต่พอผมออกมาดู..
ปรากฏว่าเจ้าลูกชายคนเล็กกำลังซบหน้า ทำตาปริบๆ กับอกแม่ ไม่ยอมขยับไปไหน..
ผมเลยสอบถามว่าเป็นอะไร แกก็ไม่ยอมตอบ..
คุณภรรยาเลยบอกว่า ลูกชายเอาของเล่นจากที่ร้านมาโดยไม่ บอกใคร
ภาษาที่ฟังง่ายๆ คือ ขโมยนั่นแหละครับ
ถือเป็นความผิดพลาดโดยสุจริต... 
ของเล่นเป็นเพียงเครื่องบินทหารลำเล็กๆ เท่านั้น..
ซึ่งเจ้าลูกชายคนโตมันเห็น จับได้ เลยส่งฟ้องแม่ทันที.. 
จริงๆ ศาลแม่ก็ยังไม่ทันได้พูดอะไร
เพียงแต่ถามว่าลูกเอามาจากไหน ของใครเท่านั้น..
ต่อมสำนึกของลูกชายคนเล็กมันก็เริ่มทำงาน
ถึงความผิดพลาดอันใหญ่หลวง รู้สึกอับอายที่ถูกจับได้..
เราคงสอนให้ลูกหน้าบางเกินไป..กับเรื่องอย่างนี้

ผมบอกลูกว่า มันไม่ใช่ของๆเรา ควรเอาไปคืนนะลูก
แล้วถามต่อว่า อยากเอาไปคืนวันนี้เลยดีไหม๊ พ่อจะพาไป..
เจ้าตัวเล็ก ผมพยักหน้าพร้อมโผเข้ามาขี่หลัง..
เราสองคนพ่อลูกเดินทางกลับไปยังร้านอาหารอีกครั้ง.. 

"พ่อ..ตอนเอาไปคืน เจ๋งรออยู่ในรถได้ไหม๊ เจ๋งไม่ได้เอา รองเท้ามา.." แกต่อรองขณะอยู่ในรถ 
"ไม่เป็นไรหรอกลูก ไม่มีใครว่าอะไรหรอก เดี๋ยวเจ๋งขี่หลังพ่อ ไปก็ได้.." ผมตอบยืนยันให้แกมั่นใจ

การส่งมอบคืนของเล่นชิ้นเล็กๆที่ไม่สำคัญ
แต่กลับยิ่งใหญ่เหมือนดั่งมหกรรมวิ่งส่งไฟคบเพลิงโอลิมปิก ก็ไม่ปาน 
ภาพสโลโมชั่นที่ผมกำลังวิ่งเหยาะๆ โดยมีลูกชายขี่หลัง
พร้อมกับยื่นของเล่นไปข้างหน้า ส่งมอบให้ถึงมือเจ้าของเดิม
ก่อนจะจากกันด้วยรอยยิ้มและคำขอบคุณ.. 

หวังว่าความผิดพลาดเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้..
จะเป็นบทเรียนสอนใจที่ดีให้ลูกได้จำไว้..
 ของอะไรที่ไม่ใช่ของเรา ไม่ควรเอา.. 
ทำผิดก็ยอมรับผิดเถอะ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย.. แต่เป็นความกล้าหาญ 

เสียงปืน กับเสียงประทัด ต่างกันนะลูก..ฟังให้ดีๆ 
โตขึ้น ไปเที่ยวพับ เที่ยวบาร์ โดนใครเหยียบตีน หรือมองหน้า..
อย่าไปถามเขานะว่า "รู้หรือเปล่าว่ากรูลูกใคร"..
เพราะถ้าลูกไม่รู้จริงๆ พ่อคิดว่าให้ลูกไปถามไอ้ปื้ดดีกว่า 
ไอ้ปื้ดมันน่าจะรู้..

และให้เชื่อคำโบร่ำโบราณว่าไว้ "
คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้"
เพราะคนดีส่วนใหญ่จะโดนถ่วงให้จมน้ำตาย ไม่ไหลไปไหน

แต่ถึงกระนั้น.. 

เราหยุดทำความดีไม่ได้นะลูก
เพราะคนเลวเขายังแข่งขันกันทำความเลวได้ทุกวัน

ความเศร้าของหอยทาก


เคยอ่านนิทานเรื่อง
"ความเศร้าของหอยทากน้อย" 
เขียนโดย นีมิ นันคิชิ ... 
ซึ่งประพันธ์ไว้เมื่อปี พ.ศ.2478 หรือ 70 กว่าปีที่แล้ว

นิทานเก่าแก่ของชาวญี่ปุ่น.. 
ที่มีเนื้อหาเรียบง่าย และไม่ได้แฝงไว้ด้วยความหมายอะไรที่ลึกซึ้ง 
แต่น่าสนใจ 


เรื่องมีอยู่ว่า.. 

วันหนึ่ง.. 
หอยทากตัวหนึ่งเกิดรู้สึกขึ้นมาว่า
เปลือกหอยบนหลังของ ตัวเองเต็มไปด้วยความเศร้า 
มันจึงไปหาเพื่อน.. 
เล่าเรื่องความทุกข์ที่ตนแบกอยู่ให้ฟัง.. 
และรำพึงรำพันว่า.. 
คงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว 

เพื่อนหอยทากได้ยิน 
จึงตอบว่า.. "ไม่ใช่มีแต่เธอเท่านั้นหรอกนะ เปลือกหอยบนหลังของฉัน
ก็เต็มไปด้วยความเศร้าเหมือนกัน.." 

เจ้าหอยทากน้อยได้ยินดังนั้น
จึงจากไปหาเพื่อนอีกตัวหนึ่ง แล้วก็เล่าเรื่องเดิมให้ฟัง.. 
แต่..
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนตัวไหนก็ให้คำตอบเหมือนกันหมด 
จนในที่สุด เจ้าหอยทากจึงเข้าใจว่า.. 
ใครๆ ก็มีความเศร้าเหมือนกันหมด ไม่ได้มีเฉพาะตัวเองเท่านั้น "
เราจะต้องอดทนแบกรับความเศร้าต่อไป.." 

เรื่องนี้จบลง.. เมื่อเจ้าหอยทากเลิกฟูมฟายกับความเศร้าของมัน
ผมเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เด็กๆ ฟัง 
สิ่งที่ถูกถามกลับมาอย่างน่าสนใจ คือ.. .. 

"แล้วความเศร้ามันเป็นยังไง?" 

 "ความเศร้า มันคงหนักมาก".. .. ... 

เด็กๆ คงยังไม่รู้จักความเศร้าโศก .. 
หรืออาจจะยังไม่เข้าใจถึงอารมณ์ความฟูมฟาย ... 
ของเจ้าหอยทากน้อยที่ต้องคอยแบกความเศร้าในเปลือกหอย ... 
สิ่งที่ผมชอบใจกับวิธีคิดของเด็กๆ 
คือ ประโยคเด็ดที่ว่า... 
ก็แค่เลิกคิด ก็เลิกเศร้า อ่า ง่าย ดีจัง ... 

ว่าแล้วก็ไปนั่งเล่นกันต่ออย่างหนุกหนาน..


วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ฉันคือ..หุ่นยนต์

CRT2004 Model 25470625

สวัสดีครับ ผมคือ CRT2004Model 25470625 ผมขออธิบายถึงที่มาของผม ผมถูกโปรแกรมพื้นฐานเริ่มต้นให้เป็นหุ่นที่สุภาพปฏิบัติตามคำสั่ง และเริ่มเข้ารหัสโปรแกรมแรก คือ โปรแกรมอนุบาลหุ่นยนต์ ซึ่งเป็นระบบคำสั่งที่ไม่ซับซ้อน โปรแกรมนี้จะทำให้ผมอ่านหนังสือได้เมื่อมีคำสั่งวาดรูป เข้านอนเมื่อมีคำสั่งผมจะเล่นจะทำการบ้านได้ก็ต่อเมื่อมีคำสั่ง หลังจากนั้นผมจะถูกส่งไปต่อที่โรงงานประถมสำหรับหุ่นยนต์ มีโปรแกรมพื้นที่ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคมซึ่งผมจะถูกกำหนดให้นั่งเงียบๆ เรียบร้อยในโรงงานพูดได้เมื่อถูกอนุญาตหรือถูกถามซึ่งผมต้องทำตาม และสุดท้ายของแต่ละช่วงโปรแกรมมีสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ การสอบ....

6 ปี ในโรงงานประถมสำหรับหุ่นยนต์ ผมจะถูกปรับปรุงและส่งต่อไปที่โรงงานมัธยมหุ่นยนต์ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ผมจะต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อที่จะผ่านไปสู่มหาวิทยาลัยหุ่นยนต์ ซึ่งเป็นกระบวนการสุดท้ายที่จะทำให้ผมเป็นหุ่นยนต์ที่สมบูรณ์แบบ มีข้อมูลงาน การอ่าน ท่องจำ การแข่งขันมากมายที่ถูกป้อนในหน่วยความจำของผมมีการทดสอบเป็นพันๆ ครั้ง การใช้โปรแกรมเสริมพิเศษทางด้านกีฬา ดนตรี และโปรแกรมติวเข้มอย่างหนัก ซึ่งทำให้ผมได้ผ่านไปยังจุดหมายที่กำหนดไว้ได้......

ปัจจุบันผมกำลังจบจากมหาวิทยาลัยหุ่นยนต์ โรงงานแห่งการกำหนดโปรแกรมขึ้นสูงสุด ที่ผมต้องใช้พลังงานทั้งหมดในการสะสมข้อมูล ความจำเพื่อให้ผ่านการทดสอบและถูกส่งออกไปทำงานต่อไป

ในแต่ละรุ่นจะมีหุ่นยนต์ที่ผ่านกระบวนการผลิตมากมาย แม้จะมีหุ่นยนต์มากมายที่ผ่านการทดสอบเป็นหุ่นยนต์ที่สมบูรณ์แล้ว แต่พวกผมก็ยังมีความกังวล เนื่องจากระบบโปรแกรมที่ผ่านมาทำให้ผมกลัวการ กระทำที่แตกต่างจากคำสั่ง ผมกลัวต่อความล้มเหลว เป็นปัญหาสำคัญของระบบที่ทำให้ผมและหุ่นยนต์ตัวอื่นๆ ทุกตัวไม่สามารถพัฒนาตัวเองไปจากคำสั่งพื้นฐานปกติได้

ในอีก 5ปีข้างหน้า จะมีหุ่นยนต์รุ่นใหม่ๆ ผลิตออกมาอีกมากมายที่ถูกสร้างตามแนวทางและโปรแกรมแบบเดียวกัน แต่มีความเข้มงวดต่อกระบวนการผลิตมากขึ้นอีก

ทุกวันนี้ความวิตกกังวลและความกลัวของผมลดลงไปมาก ผมยังหวังว่า สักวันผมจะมีการพัฒนาตัวเองในการหาแนวทางใหม่ๆที่นอกเหนือโปรแกรมคำสั่งเดิมๆ ผมคิดว่าผมจะพัฒนาตัวเองไปเป็น "มนุษย์ที่สมบูรณ์" ได้บ้าง