วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อีกด้านของชีวิตที่ไม่ได้สวยงาม


นั่งดูแบทแมน..อัศวินรัตติกาลจบ ลูกชายที่นั่งดูอยู่ข้างๆ ถามคำถามขึ้นมาอย่างน่าสนใจว่า.. 

" ฮีโร่ส่วนใหญ่ทำไมต้องแต่งชุดประหลาดๆ ด้วย"
ผมยิ้มให้กับคำถาม แต่ยังไม่มีคำตอบให้กับลูกชาย 
" ทำไมนะเหรอ..อืมม" ผมครุ่นคิดไปกับคำถาม
จะว่าไปแบทแมนภาคนี้ทำได้สนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจ ชุดแบทแมนที่ออกแบบใหม่ สเปเชียลเทคนิคพิเศษและความสามารถของนักแสดง แม้ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ดีที่สุดในรอบปี แต่กลับมีสาระบางอย่างแฝงไว้ ให้เราได้ขบคิดพอสมควร 

จากประสบการณ์วัยเยาว์ของเด็กชายที่พ่อแม่ถูกทำร้ายจากอาชญากรจนเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา ผลิกผันชีวิตตัวเองไปสู่เงามืดที่คอยตามล้างตามล่าเหล่าร้าย ชีวิตในเมืองที่กฏหมายทั่วไปไม่อาจใช้ได้ผล ผู้คนที่ได้รับการช่วยเหลือจากฮีโร่ในชุดค้างคาวให้รอดพ้นภัยอันตรายจากกลุ่มคนไม่ดีทั้งหลาย เชื่อแน่ว่าคนเหล่านั้นคงชื่นชมและนิยมชมชอบแบทแมน.. 

แต่คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ย่อมไม่รู้ว่า ความดีที่แบทแมนทำนั้น ทำไปเพื่ออะไร บ้าหรือเปล่า  มันสำคัญและจำเป็นอย่างไรสำหรับคนทั่วไป

หรือว่า..
การชื่นชมคนดี หรือความดีที่ใครคนหนึ่งกระทำ มันขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่ทำนั้นถ้าคนที่รับ หรือคนที่ได้สัมผัสรู้สึกว่ามันดี มันก็คือ ดี และถ้ามันมีผลต่อตนเองด้วยแล้ว..ยิ่งดีใหญ่ 

แต่ถ้า..
มันเป็นสิ่งที่ตัวเองไม่ได้รับผลใดๆ หรือซ้ำร้ายไปกว่านั้น กลับเป็นผู้เสียผลประโยชน์โดยตรง แน่ใจได้ว่ามันคงมิใช่ความดีสำหรับบางคน

การเข้ามาของโจ๊กเกอร์ ศัตรูตัวร้ายของแบทแมนในภาคนี้ต่างจากอาชญากรธรรมดา ที่ฉลาดล้ำลึก โหดและมีลูกบ้า แถมรักษาสัจจะวาจาในการฆ่า..ได้อย่างดีเยี่ยม จะเจ็บ จะตายเท่าไหร่ เขาไม่สนใจในวิธีที่ให้ได้มาซึ่งชัยชนะ.. 

ความหวาดกลัวจึงถาโถมเข้าไปในหัวใจ หัวใจของคนทั่วไป ความดีที่ไม่อาจคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพยสิน ผู้คนในสังคมส่วนใหญ่จึงอยากให้แบทแมนยอมจำนน.. 

เนื้อเรื่องในตอนนี้.. ยังชี้ให้เห็นถึงความเป็นคนของแต่ละคน ที่มีโอกาสเลือกทำในสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง แม้บางคนจะเคยคิดดี มีอุดมการณ์ที่มุ่งมั่น แต่เมื่อมาเจอกับความสูญเสียบางอย่าง.. ทำให้ความดีในใจถูกสั่นคลอนจนก้าวข้ามไปสู่ความด้านมืดในจิตใจที่เลวร้ายของตัวเอง 

จุดไคลแมกซ์ของเรื่อง ดูจะเป็นตอนที่ ผู้คนมากมายบนเรือสองลำที่ถูกวางระเบิดไว้ 
เรือลำหนึ่งบรรทุกผู้โดยสารทั่วไปทั้งเด็กและผู้ใหญ่

ส่วนอีกลำบรรทุกบรรดาเหล่าอาชญากรวายร้ายที่เป็นนักโทษอุกฉกรรจ์  โดยมีเงื่อนไขให้ผู้คนในเรือจะต้องตัดสินใจร่วมกันว่าจะระเบิดเรืออีกลำตามคำขู่ของ โจ๊กเกอร์หรือไม่.. 

เป็นสิ่งที่ท้าทายความดีงามในใจของมนุษย์ทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง
เพราะการเลือกที่จะให้ตัวเองตาย หรือเลือกที่จะยอมทำร้ายคนอื่น 
ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริงอย่างหนึ่งที่ว่า.. 
ต่อหน้าคนหมู่มาก ไม่มีใครอยากแสดงความเห็นแก่ตัว"   

แม้เรื่องจะจบลงด้วยความดีงามเป็นผู้ชนะตามประสาหนังแอคชั่นทั่วๆไป แต่ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้สำหรับผม คือ บุคลิกของตัวแสดงแต่ละตัว ที่แสดงออกถึงความเป็นธรรมดาๆของคนในสังคม ได้อย่างดี ความธรรมดาที่มีรัก โลภ โกรธ หลง และอำนาจของมนุษย์ ไม่ว่าจะในด้านมืด หรือด้านที่สว่าง ล้วนแล้วแต่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเอง สังคม.. หรือแม้แต่โลกกลมๆ ใบนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ 

และด้วยความเป็นปถุชนคนธรรมดานี่แหละที่บางครั้งจิตใจที่อ่อนไหวมันผลักไสไล่ส่งเรา กลับไปกลับมาระหว่างด้านที่ดีและด้านที่ไม่ดี 

สำหรับคนทั่วไป
ถ้าแบทแมนคือตัวแทนของความดี ด้านที่สว่าง..ของมนุษย์ 

เป็นไปได้หรือไม่ว่า.. 
โจ๊กเกอร์ ก็คือ ตัวแทนของความดี(ที่ไม่งาม) ของคนที่มีชีวิตอยู่ในด้านมืดเฉกเช่นเดียวกัน.. 
และบางทีก็เพราะคนดีๆ นะแหละที่ผลักดันคนดีด้วยกันไปสู่ด้านที่ไม่ดีโดยไม่รู้ตัว.. 

โลกยังคงจำเป็นที่ต้องมีความชั่วและความดีอยู่คู่กัน 
แต่คงไม่ใช่.. 
เพียงเพื่อให้เราได้เรียนรู้ว่าคนดีต่างจากคนไม่ดีอย่างไรเท่านั้น

เพราะอีกด้านของชีวิต 
แม้ไม่ได้สวยงาม.. แต่ไม่ได้หมายความว่า..จะไม่มีความดีงามอยู่ซะเลย 

" ฮีโร่ส่วนใหญ่ ทำไมต้องแต่งชุดประหลาดๆ ด้วยนะเหรอ"
ผมทวนคำถามอีกครั้งก่อนจะยิ้มและตอบว่า 

 "  ดึกแล้ว..ไปนอน "




ที่นั่ง..

นี่เธอ.. 
ร้องไห้ไปมันก็เท่านั้น
ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกนะเธอ

จะมามัวโศกเศร้า เสียใจ..ไปทำไม
น้ำตา ไม่ช่วยให้มีอะไรดีขึ้นมาสักหน่อย.. 

โลกทุกวันนี้..

ไม่มีที่ยืนสำหรับคนอ่อนแอหรอกนะ 









 อืม.. คงจริงอย่างเธอว่า 
 แต่.. 
 จะว่าไป ก็ยังโชคดี..นะ 
 ที่โลกนี้.. 
 ยังพอมี.. 
 ที่นั่งเหลืออยู่บ้าง.. 
 ฉันว่า.. 
 เรา.. 
 มานั่งพักกันก่อนเถอะ 
 แบ่งๆ กันนั่ง 
ก็คงพอนะ.. 
 เธอว่าไหม๊




ความผิดพลาดเล็กๆ(ที่ยิ่งใหญ่)

ผมพาครอบครัวออกไปทานข้าวนอกบ้าน..
ฉลองกันเนื่องในโอกาสที่ ลูกชาย ฯคณะฯ ท่านได้กลับมากลับมาติดยศอีกครั้ง..
น่าปลื้มใจแทนจริงๆ..
ว่าจะไม่แขวะการเมืองแล้วเชียวน๊า..
อดไม่ได้ สงสัยหมาในปากขาดสารอาหาร พาลกัดคนอื่นไปทั่ว แง่มๆๆ.. 

วันนี้พาครอบครัวไปกินข้าวนอกบ้าน ร้านปลาเผาเจ้าอร่อย
ที่จริง.. เรื่องของเรื่องก็ไม่มีอะไร บรรยากาศ รสชาติอาหารทุกอย่าง ก็ลงตัว
สนนราคาก็ไม่สูงจนเกินในยามข้าวยากน้ำมันแพง อย่างนี้ ..
ราคาเบาๆ แต่หนักท้อง 

ระหว่างที่ผมกับคุณภรรเมียกำลังเมามันส์กับการแทะปลา
เราก็ปล่อยให้เด็กวิ่งเล่นกับเด็กๆแถวนั้น อีก 2-3 คน เด็กๆ ดูจะคุยกันถูกคอ
ได้ยินเสียงหัวร่อกันอย่างหนุกหนาน..
จนได้เวลาเช็คบิลกลับบ้าน น้องนันท์ลูกชายคนเล็กของผม
ดูมีท่าทีแปลกๆ มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในกระเป๋ากางเกง
ผมขอดูแกก็ไม่ยอมให้ดู เลยไม่ได้สนใจจะซักอะไรต่อ
รีบพากันกลับบ้าน เพราะฝนฟ้าดูไม่เป็นใจ...
ผมจำไม่ได้ซะด้วยว่าเคยสาบดสาบานไว้กี่ครั้ง .. 

กลับมาถึงบ้านทำโน้น ทำนี่ไปเรื่อย..
ได้ยินเสียงเจ้าลูกชายคนโต กับเจ้าคนเล็กส่งเสียงกันเอะอะ
ผมจึงส่งคุณภรรยาเข้าไปไกล่เกลี่ย สงบศึก..

แต่พอผมออกมาดู..
ปรากฏว่าเจ้าลูกชายคนเล็กกำลังซบหน้า ทำตาปริบๆ กับอกแม่ ไม่ยอมขยับไปไหน..
ผมเลยสอบถามว่าเป็นอะไร แกก็ไม่ยอมตอบ..
คุณภรรยาเลยบอกว่า ลูกชายเอาของเล่นจากที่ร้านมาโดยไม่ บอกใคร
ภาษาที่ฟังง่ายๆ คือ ขโมยนั่นแหละครับ
ถือเป็นความผิดพลาดโดยสุจริต... 
ของเล่นเป็นเพียงเครื่องบินทหารลำเล็กๆ เท่านั้น..
ซึ่งเจ้าลูกชายคนโตมันเห็น จับได้ เลยส่งฟ้องแม่ทันที.. 
จริงๆ ศาลแม่ก็ยังไม่ทันได้พูดอะไร
เพียงแต่ถามว่าลูกเอามาจากไหน ของใครเท่านั้น..
ต่อมสำนึกของลูกชายคนเล็กมันก็เริ่มทำงาน
ถึงความผิดพลาดอันใหญ่หลวง รู้สึกอับอายที่ถูกจับได้..
เราคงสอนให้ลูกหน้าบางเกินไป..กับเรื่องอย่างนี้

ผมบอกลูกว่า มันไม่ใช่ของๆเรา ควรเอาไปคืนนะลูก
แล้วถามต่อว่า อยากเอาไปคืนวันนี้เลยดีไหม๊ พ่อจะพาไป..
เจ้าตัวเล็ก ผมพยักหน้าพร้อมโผเข้ามาขี่หลัง..
เราสองคนพ่อลูกเดินทางกลับไปยังร้านอาหารอีกครั้ง.. 

"พ่อ..ตอนเอาไปคืน เจ๋งรออยู่ในรถได้ไหม๊ เจ๋งไม่ได้เอา รองเท้ามา.." แกต่อรองขณะอยู่ในรถ 
"ไม่เป็นไรหรอกลูก ไม่มีใครว่าอะไรหรอก เดี๋ยวเจ๋งขี่หลังพ่อ ไปก็ได้.." ผมตอบยืนยันให้แกมั่นใจ

การส่งมอบคืนของเล่นชิ้นเล็กๆที่ไม่สำคัญ
แต่กลับยิ่งใหญ่เหมือนดั่งมหกรรมวิ่งส่งไฟคบเพลิงโอลิมปิก ก็ไม่ปาน 
ภาพสโลโมชั่นที่ผมกำลังวิ่งเหยาะๆ โดยมีลูกชายขี่หลัง
พร้อมกับยื่นของเล่นไปข้างหน้า ส่งมอบให้ถึงมือเจ้าของเดิม
ก่อนจะจากกันด้วยรอยยิ้มและคำขอบคุณ.. 

หวังว่าความผิดพลาดเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้..
จะเป็นบทเรียนสอนใจที่ดีให้ลูกได้จำไว้..
 ของอะไรที่ไม่ใช่ของเรา ไม่ควรเอา.. 
ทำผิดก็ยอมรับผิดเถอะ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย.. แต่เป็นความกล้าหาญ 

เสียงปืน กับเสียงประทัด ต่างกันนะลูก..ฟังให้ดีๆ 
โตขึ้น ไปเที่ยวพับ เที่ยวบาร์ โดนใครเหยียบตีน หรือมองหน้า..
อย่าไปถามเขานะว่า "รู้หรือเปล่าว่ากรูลูกใคร"..
เพราะถ้าลูกไม่รู้จริงๆ พ่อคิดว่าให้ลูกไปถามไอ้ปื้ดดีกว่า 
ไอ้ปื้ดมันน่าจะรู้..

และให้เชื่อคำโบร่ำโบราณว่าไว้ "
คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้"
เพราะคนดีส่วนใหญ่จะโดนถ่วงให้จมน้ำตาย ไม่ไหลไปไหน

แต่ถึงกระนั้น.. 

เราหยุดทำความดีไม่ได้นะลูก
เพราะคนเลวเขายังแข่งขันกันทำความเลวได้ทุกวัน

ความเศร้าของหอยทาก


เคยอ่านนิทานเรื่อง
"ความเศร้าของหอยทากน้อย" 
เขียนโดย นีมิ นันคิชิ ... 
ซึ่งประพันธ์ไว้เมื่อปี พ.ศ.2478 หรือ 70 กว่าปีที่แล้ว

นิทานเก่าแก่ของชาวญี่ปุ่น.. 
ที่มีเนื้อหาเรียบง่าย และไม่ได้แฝงไว้ด้วยความหมายอะไรที่ลึกซึ้ง 
แต่น่าสนใจ 


เรื่องมีอยู่ว่า.. 

วันหนึ่ง.. 
หอยทากตัวหนึ่งเกิดรู้สึกขึ้นมาว่า
เปลือกหอยบนหลังของ ตัวเองเต็มไปด้วยความเศร้า 
มันจึงไปหาเพื่อน.. 
เล่าเรื่องความทุกข์ที่ตนแบกอยู่ให้ฟัง.. 
และรำพึงรำพันว่า.. 
คงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว 

เพื่อนหอยทากได้ยิน 
จึงตอบว่า.. "ไม่ใช่มีแต่เธอเท่านั้นหรอกนะ เปลือกหอยบนหลังของฉัน
ก็เต็มไปด้วยความเศร้าเหมือนกัน.." 

เจ้าหอยทากน้อยได้ยินดังนั้น
จึงจากไปหาเพื่อนอีกตัวหนึ่ง แล้วก็เล่าเรื่องเดิมให้ฟัง.. 
แต่..
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนตัวไหนก็ให้คำตอบเหมือนกันหมด 
จนในที่สุด เจ้าหอยทากจึงเข้าใจว่า.. 
ใครๆ ก็มีความเศร้าเหมือนกันหมด ไม่ได้มีเฉพาะตัวเองเท่านั้น "
เราจะต้องอดทนแบกรับความเศร้าต่อไป.." 

เรื่องนี้จบลง.. เมื่อเจ้าหอยทากเลิกฟูมฟายกับความเศร้าของมัน
ผมเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เด็กๆ ฟัง 
สิ่งที่ถูกถามกลับมาอย่างน่าสนใจ คือ.. .. 

"แล้วความเศร้ามันเป็นยังไง?" 

 "ความเศร้า มันคงหนักมาก".. .. ... 

เด็กๆ คงยังไม่รู้จักความเศร้าโศก .. 
หรืออาจจะยังไม่เข้าใจถึงอารมณ์ความฟูมฟาย ... 
ของเจ้าหอยทากน้อยที่ต้องคอยแบกความเศร้าในเปลือกหอย ... 
สิ่งที่ผมชอบใจกับวิธีคิดของเด็กๆ 
คือ ประโยคเด็ดที่ว่า... 
ก็แค่เลิกคิด ก็เลิกเศร้า อ่า ง่าย ดีจัง ... 

ว่าแล้วก็ไปนั่งเล่นกันต่ออย่างหนุกหนาน..


วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ฉันคือ..หุ่นยนต์

CRT2004 Model 25470625

สวัสดีครับ ผมคือ CRT2004Model 25470625 ผมขออธิบายถึงที่มาของผม ผมถูกโปรแกรมพื้นฐานเริ่มต้นให้เป็นหุ่นที่สุภาพปฏิบัติตามคำสั่ง และเริ่มเข้ารหัสโปรแกรมแรก คือ โปรแกรมอนุบาลหุ่นยนต์ ซึ่งเป็นระบบคำสั่งที่ไม่ซับซ้อน โปรแกรมนี้จะทำให้ผมอ่านหนังสือได้เมื่อมีคำสั่งวาดรูป เข้านอนเมื่อมีคำสั่งผมจะเล่นจะทำการบ้านได้ก็ต่อเมื่อมีคำสั่ง หลังจากนั้นผมจะถูกส่งไปต่อที่โรงงานประถมสำหรับหุ่นยนต์ มีโปรแกรมพื้นที่ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคมซึ่งผมจะถูกกำหนดให้นั่งเงียบๆ เรียบร้อยในโรงงานพูดได้เมื่อถูกอนุญาตหรือถูกถามซึ่งผมต้องทำตาม และสุดท้ายของแต่ละช่วงโปรแกรมมีสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ การสอบ....

6 ปี ในโรงงานประถมสำหรับหุ่นยนต์ ผมจะถูกปรับปรุงและส่งต่อไปที่โรงงานมัธยมหุ่นยนต์ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ผมจะต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อที่จะผ่านไปสู่มหาวิทยาลัยหุ่นยนต์ ซึ่งเป็นกระบวนการสุดท้ายที่จะทำให้ผมเป็นหุ่นยนต์ที่สมบูรณ์แบบ มีข้อมูลงาน การอ่าน ท่องจำ การแข่งขันมากมายที่ถูกป้อนในหน่วยความจำของผมมีการทดสอบเป็นพันๆ ครั้ง การใช้โปรแกรมเสริมพิเศษทางด้านกีฬา ดนตรี และโปรแกรมติวเข้มอย่างหนัก ซึ่งทำให้ผมได้ผ่านไปยังจุดหมายที่กำหนดไว้ได้......

ปัจจุบันผมกำลังจบจากมหาวิทยาลัยหุ่นยนต์ โรงงานแห่งการกำหนดโปรแกรมขึ้นสูงสุด ที่ผมต้องใช้พลังงานทั้งหมดในการสะสมข้อมูล ความจำเพื่อให้ผ่านการทดสอบและถูกส่งออกไปทำงานต่อไป

ในแต่ละรุ่นจะมีหุ่นยนต์ที่ผ่านกระบวนการผลิตมากมาย แม้จะมีหุ่นยนต์มากมายที่ผ่านการทดสอบเป็นหุ่นยนต์ที่สมบูรณ์แล้ว แต่พวกผมก็ยังมีความกังวล เนื่องจากระบบโปรแกรมที่ผ่านมาทำให้ผมกลัวการ กระทำที่แตกต่างจากคำสั่ง ผมกลัวต่อความล้มเหลว เป็นปัญหาสำคัญของระบบที่ทำให้ผมและหุ่นยนต์ตัวอื่นๆ ทุกตัวไม่สามารถพัฒนาตัวเองไปจากคำสั่งพื้นฐานปกติได้

ในอีก 5ปีข้างหน้า จะมีหุ่นยนต์รุ่นใหม่ๆ ผลิตออกมาอีกมากมายที่ถูกสร้างตามแนวทางและโปรแกรมแบบเดียวกัน แต่มีความเข้มงวดต่อกระบวนการผลิตมากขึ้นอีก

ทุกวันนี้ความวิตกกังวลและความกลัวของผมลดลงไปมาก ผมยังหวังว่า สักวันผมจะมีการพัฒนาตัวเองในการหาแนวทางใหม่ๆที่นอกเหนือโปรแกรมคำสั่งเดิมๆ ผมคิดว่าผมจะพัฒนาตัวเองไปเป็น "มนุษย์ที่สมบูรณ์" ได้บ้าง